สัญญาณเตือนภัย อนุชาย ตอนที่13 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
อนุชาย ตอนที่13
คืนวันศุกร์เวลา 02.21 น. แสงสีขาวเจิดจรัสจากรถยนต์โตโยต้าคัมรี่สีบลอนพุ่งทะยานไปตามถนนเกษตร-นวมินทร์ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ อาจารย์หนุ่มเมาหลับตั้งแต่ยังไม่เที่ยงคืน หน้าที่ขับรถเลยต้องเป็นอนุชัย ขณะที่รถติดไฟแดงที่สี่แยกถนนนวมินทร์ อนุชัยเหลือบไปมองใบหน้าขาวตี๋เวลาไร้แว่นกรอบหนาเตอะหลายรอบ ก่อนเขาจะใช้มือเสยผมที่ปิดบังดวงตาให้อยู่ในสถานะไม่รำคาญ
“แบล็คเลเบิ้ล ทำ อา ไร พี่ไม่ได้หรอก” เสียงอาจารย์พิชัยละเมอจนเขาอดขำไม่ได้ “นุ นุ”
“ครับอาจารย์ เกือบถึงบ้านแล้วครับ” เขาตอบรับแบบต้องการเช็คระดับแอลกอฮอล์
“เรียก พี่ได้ ไหม” อาจารย์พิชัยเสียงดัง ทำให้อนุชัยแอบขำจนแทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
(แสดงว่าแบล็คเลเบิ้ลทำอะไรพี่ไม่ได้จริงๆ นั้นแหละ หึๆ) เขาแอบคิดแต่ก็เงียบ แต่ขณะที่รถกำลังจะออกตัวตามสถานะไฟเขียว เสียง ปัง! ปัง! ไร้ทิศทางก็ดังขึ้น 2 นัดติดกัน
สัญญาณเตือนภัย
“ปัง !ปัง!…” เขาเหยียบเบรกจนแสงสีแดงจากไฟท้ายสว่างวาบๆ หลายที….
“นุ นุ เกิดอะไรขึ้น” อาจารย์พิชัยที่พึ่งตื่นรีบขยับตัวราวกับคนไม่ได้ดื่มเมา ขณะที่อนุชัยกวาดสายตาไล่ตามรถมอเตอร์ไซด์ที่มีชายในชุดหนังสีดำ 2 คนขับปาดหน้าก่อนจะเร่งความเร็วหายข้ามถนนหายไป เมื่อตำรวจในป้อมยามวิ่งเข้ามาถึง ก็ปรากฏมีรอยกระสุนยิงทะลุประตูหลัง 2 จุด
“เกิดอะไรขึ้น นุ เป็นไรรึเปล่า” อาจารย์พิชัยถามทั้งๆ ที่อยู่ในอาการไม่ 100 เปอร์เซ็นต์
“เปล่าครับ ผมไม่เป็นไร” อนุชัยตอบเร็วๆ
เมื่อตำรวจเข้ามาทำประวัติเช็ครายละเอียดเรียบร้อยทั้ง 2 ถูกเชิญไปให้การที่โรงพัก และเช้าวันจันทร์ขณะที่อนุชัยกำลังจะเดินเข้าชั้นเรียน ชานนท์ในชุดสีดำสวมหมวกแก๊ปและแว่นตาสีเดียวกันก็เดินเข้ามาประกบ จนเพื่อนพากันเร่งฝีเท้าล่วงหน้าไปก่อน
“เจอกันในห้องนะนุ…สวัสดีครับคุณชาย” เพื่อนที่สูงพอๆ กับเขาทักชานนท์ก่อนจะแยกตัวไป
ชานนท์ยกมือรับแต่ไม่ได้ตอบโต้ “นายเป็นไรรึเปล่า ฉันพึ่งได้ข่าวเลยรีบมาหา”
“เปล่าไม่เป็นไร แต่รถของอาจารย์ได้แผลไป 2 จุดที่ประตูหลัง” อนุชัยตอบตรงๆ เขาส่ายหัวพร้อมๆ กับแจะปากเสียงดัง จิ๊ๆ หลายทีราวกับคนกำลังคิด “ฉันว่าฉันเห็นรถมอเตอร์ไซด์กับคนสวมชุดหนังสีดำ คล้ายคนซ้อนกำลังเก็บปืนขณะขับรถผ่าน….แต่ไม่ชัววะ”
“มันเลือกยิงประตูหลังแสดงว่ามันต้องการขู่เฉยๆ” ชานนท์ออกความเห็น
“คนที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะเป็นอาจารย์สรวงสุดาภรรยาอาจารย์นะ เช้าวันเสาร์ขับรถจากโคราชถึงกรุงเทพฯ เลย”
และขณะที่ทั้ง 2 กำลังยืนคุยกันด้วยท่าทีเคร่งเครียด นารา สาวสวยจากแผนกบัญชีก็พุ่งตรงเข้ามาแทรก “สวัสดีคะคุณชาย หวัดดีนุ”
“อื้อ มีอะไรกับเค้ารึเปล่า” อนุชัยเลือกใช้สรรพนามคล้ายกับคนสนิทถึงขั้นพิเศษจนชานนท์อดจ้องทั้งสองสลับกันไปมาไม่ได้
“เค้ามีเรื่องจะบอกตัวเอง คือว่า…..” เธอเหลือบไปที่ชานนท์อย่างคนไม่สบายใจ
“ไม่เป็นไรไอ้คุณกับเค้าก็เหมือนคนๆ เดียวกันนั้นแหละ” คำพูดของอนุชัยทำให้ชานนท์ยิ้มออกได้บ้าง
“คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีคนแปลกหน้ามาถามหา ไม่ได้เอ่ยชื่อ นุ ตรงๆ หรอก…แต่ถ้าจะให้อนุมานก็ใกล้เคียงอ่ะ เพื่อนเค้าเห็นเหตุการณ์ส่อไปในทางไม่ค่อยดีเลยให้มาเตือน”
“ชายแปลกหน้าที่ว่า พอจะจำได้ไหม” ชานนท์แทรก นาราจึงหันใบหน้าขาวๆ เปิดร่องอกลึกๆ มาทางเขา
“นาราเห็นแวบเดียวอะนะ ตัวสูง รูปร่างใหญ่ ถ้าจำไม่ผิดเขาใส่หมากแก๊ปสีดำแบบคุณชายนี้แหละแต่ลอนผมที่โผล่ด้านหลังบอกเลยว่าผมเขาหยิกธรรมชาติแน่ๆ” เธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา “นาราต้องไปแล้วนะมีเรียนแต่เช้า ระวังตัวด้วยนะนุ สวัสดีคะคุณชาย”
เมื่อนาราหันหลังเดินหายลับมุมตึกไปแล้ว “ฉันจะอยู่กับนายที่นี้แหละ”
“จะบ้าเหรอ!” อนุชัยเสียงสูง “นายไม่มีไรทำรึไง….เดี๋ยวชาวบ้านก็หาว่าฉันกับนายเป็นแฟนกันพอดี ไม่เอาๆ กลัวตกเป็นข่าว”
“นายสนรึไง..” ชานนท์สวนกลับเสียงดังบ้าง “ไหนนายพึ่งบอกกับฉันตระกี้เองว่า เราเหมือนคนๆ เดียวกันไงละ…” พร้อมกับทำตาหวานเยิ้มให้อีก “เราเป็นคนๆ เดียวกันไม่ใช่รึ อนุชายยยย”
“ฉันยังไม่อยากโมโหแต่เช้า กรุณากลับไปหัดเรียกชื่อฉันให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย ฟังทีไรเหมือนฉันจะกลายเป็นเมียน้อยนายมากขึ้นทุกวัน ทุกวัน…ยี้…ขนลุก”
“ฮ่า ฮาๆ….ฉันไม่มีไรทำอ่ะ….ฉันรอนายใต้ตึกนะ นะ นะ”
“อย่าขนนักข่าวมาด้วยละกัน ไปละ ฉันมีเรียน” อนุชัยบอกส่งๆ
“โอเค ฉันจะหลบเต็มที่ เลย เห็นไหมเนี่ยชุดฉันเป็นไง ฉันอุตส่าห์ปลอมตัวไม่ให้ใครสังเกตแล้วนะ” ชานนท์พูดพร้อมกลับถอยห่างออกให้เขาเห็นชัดๆ
อนุชัยสำรวจด้วยหางตา “ปลอมบ้า-ปลอมบออะไร…ใส่หมวกแก๊ปแว่นตาดำ เสื้อกางเกงสีดำในเขตมหาวิทยาลัยเนี่ยนะ….” เขาส่ายหน้าแจะปากเสียงดัง จิ๊ๆ 2 ที “ไปนะ…”
“ว่าแต่เที่ยงนายจะกินอะไรอ่ะ ฉันจะไปหามาไว้ให้”
“อย่าสะเหรอมาทำตัวยังกะแฟนฉันได้ไหม แค่นี้เพื่อนฉันก็สงสัยไปครึ่งห้องแล้ว ไปนะ เจอกัน”
“ฮ่าๆ ฮาๆ นายนี้น่ารักเป็นบ้าเลยวะ…แล้วเจอกันที่รัก” ชานนท์ส่งจูบให้เขา ยิ่งทำให้ขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าไม่ปกติมากกว่าเดิม
“สงสัยไอ้เฮี้ยคุณแม่ง! บ้าไปแล้ว” อนุชัยพึมพำกระนั้นใบหน้าของเขาก็เก็บอาการไม่อยู่
คุณหญิงพวงพรกำชับบุตรชายหลายเรื่องตั้งแต่ให้เร่งโอนหน่วยกิจมาเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับอนุชัย ด้วยเหตุผลคือ เขาเป็นลูกชายคนเดียวของ ดร.ชวนนท์ สายสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่ต่างกับเป็นไฟสปอร์ตไลท์ให้อนุชัยที่เธอมั่นใจมากขึ้นหลังจากได้ไปคุยกับสมรแม่ของเขาที่อำเภอหมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาถึงผลดีเอ็นเอจะยังไม่ออกแต่ส่วนหนึ่งของอนุชัยคือลูกชายน้องสาวที่สาบสูญไปเรียบร้อยแล้ว
“ชาย”
“คะคุณแม่”
“ช่วงนี้ชายได้ไปซ้อมยิงปืนบ้างรึเปล่าลูก” คุณหญิงพวงพรเอ่ยถามบุตรชายในเรื่องหมิ่นเหม่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชานนท์ชะงักค้างอยู่พักหนึ่ง ก่อนเธอจะพุดต่อ “แม่อยากให้ชวนอนุชัยไปฝึกยิงปืนด้วยกัน” เมื่อดวงตาของบุตรชายยังค้างเติ่งในลักษณะเดิม “อย่ามองแม่แบบนั้นซิ! ฝึกไว้ป้องกันตัวบ้างจะเป็นไรไป….หรือไม่ก็ฝึกแข่งขันกีฬาไปเลยก็ดี แม่จะลากสังขารตามเชียร์ทุกๆ สนามเลยเอา”
“ฮ่าๆ คุณแม่นี้ตลกชะมัด…ก็ดีเหมือนกันคะ ไหนๆ สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นมาแล้วนิน่า” ชานนท์พูดไปกัดขนมปังปิ้งไป จิบกาแฟไป แบบคนไร้มารยาท “ชายจะลองชวนเขาดูนะคะ…โอเค ชายต้องไปที่สถานทูตแคนาดาละ เดี๋ยวบ่ายๆ จะแวะไปหาอนุชายยย อีก”
“อนุชัย จ้า ออกเสียงคำสุดท้ายสั้นเดี๋ยวก็โดนสอยร่วงกลางอากาศมาอีกหรอก หึๆ”
“อนุชะ ชะ ชัย อนุชัย ออกเสียงถูกรึเปล่าคะ”
“คะ แบบนั้นแหละ ไปๆ เดี๋ยวสายคนเยอะ”
“อนุชายยยย อนุชะ ชะ ชัย อนุชัย…ชื่อคนบ้า! อะไร…เรียกยากชะมัด”
อีกคนที่บ้านพักสีครีมภายในสนามกล๊อฟ “เซอร์แจ๊กสัน” กลางดง สระบุรี
ท่านผู้หญิงแขไขยกหูโทรศัพท์โทรทางไกลหาแครายที่แวนคูเวอร์ประเทศแคนาดา เธอจุ๊! ปากแบบคนใจร้อนหลายทีขณะรอ……”ฮื้อ!…..”…สักพัก…..
“ฮัลลลโหลลลแครี่รึคะลูก”
(คะ คุณแม่มีอะไรรึเปล่าคะ แคร์กำลังรีบเลยคะ)
“แหมแม่โทรมาทีไร หนูต้องมีธุระเร่งด่วนทันทีทันใดเลยนะคะ”
(เปล่าคะ นี้มันเวลาเช้าของหนูนะคะ คุณแม่ชอบโทรมาเวลานี้อยู่เรื่อยนี่คะ…คุณแม่คะรีบๆ เถอะคะเดี๋ยวแคร์ไม่ทันรถไฟ)
“อ้อ…คะ คะ แคร์รู้เรื่องพี่ชายจะย้ายมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ รึยังคะ”
(คะคุณแม่…..)
“หนูรีบทำเรื่องย้ายตามมาประกบพี่เค้าเลยนะ เรื่องโรง-เรื่องเรียน จบหรือไม่จบ แม่ไม่สน แต่ถ้าหนูท้องกับคุณชานนท์ได้ยิ่งดี เข้าใจที่แม่พูดไหม”
(คุณแม่ แคร์มีแฟนแล้วนะคะ)
“ไอ้เด็กคนนั้นนะรึ หึๆ….ถ้าหนูคิดว่ามันเป็นแค่ของเล่น แม่จะส่งเสริมด้วยซ้ำไป…แต่ถ้าหนูจริงจังกับมันละก็ แม่ไม่เก็บมันไว้แน่ๆ….รีบทำเรื่องย้ายตามมาเลยนะ” ท่านผู้หญิงแขไขนิ่งราวกับรอสัญญาณบางอย่าง เมื่อแครายไม่ตอบโต้ เธอจึงพูดต่อ “แครรี่ หนูฟังแม่ดีๆ นะคะ ถ้าเราทำเรื่องนี้สำเร็จ สมบัติของบ้านตระกูลเชาว์รวมกับบ้านสายสกุล หนูกับแม่ก็จะสบายไปทั้งชาติ….ไม่ต้องทนหาเงินผ่อนดอกเบี้ยให้แบงก์เหมือนทุกวันนี้ หนูเข้าใจที่แม่พูดไหมเนี่ย แคราย แคราย แครี่ แครี่ อย่ามาวางหูใส่ฉานนนะ….แครี่ แคคคคครี่ๆๆๆๆๆ”
(ตื้ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)
“แครี่ นังแครี่……หึๆๆๆๆๆๆ” ท่านผู้หญิงแขไขหัวเสียอย่างหนัก เธอลุกเหวี่ยงตรงไปยังบาร์เหล้า “ปกรณ์ ปกรณ์ มาหาฉันหน่อย”
“ครับๆ ท่านผู้หญิง” หนุ่มขับรถสุดหล่อเร่งฝีเท้าเข้ามาหยุดก้มหน้าใกล้ๆ
“สันติกับแม่ยงไปแล้วรึ” แขไขถามเบาๆ พลางกระดกบรั่นดีเกือบครึ่งแก้วจนหมด
“กลับเรือนเล็กไปหมดแล้วครับ”
เธอเควี้ยงแก้วเปล่าผ่านคนขับรถไปแตกกระจายที่มุมทางเข้าอย่างหวุดหวิด “บ้าเอ้ย! ฉันบอกกี่ครั้งแล้ว เวลาอยู่กับฉัน 2 ต่อ 2 ให้เรียกฉานนนว่ายังไงห่า!”
“ครับๆ พี่แข….” เด็กหนุ่มรีบตอบเร็วรัวๆ สักพักเมื่อท่านผู้หญิงแขไขเชิดหน้าหลับตาสู่เพดานที่มีแสงดาวไลท์สีส้มประดับอยู่เต็มห้อง เสียงเป่าลมออกจากปากก็ดังขึ้นหลายที
“ฉันเครียดเหลือเกินปกรณ์ขา” พร้อมกับดึงมือเด็กหนุ่มมาทาบที่หน้าอกตัวเอง
“คลึงมันให้ฉันทีซิจ้ะ ฉานนเครียดดดดดด”
“ครับ ครับพี่แข….”