คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ ตอน หมาล่าเนื้อ TIMMYBUTO เขียน
หมาล่าเนื้อ
ผมมีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง…..
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วยังมีนายพรานกับหมาคู่ใจตัวหนึ่ง มันชื่อไอ้เสือ ไอ้เสือเป็นหมาตัวใหญ่มีขนสีน้ำตาลแดงแข็งแรงดุดัน ทุกครั้งที่นายพรานออกล่าสัตว์ป่า นายพรานก็จะเอาไอ้เสือไปด้วยเสมอ ไอ้เสือมันเก่งทั้งต้อนสัตว์ป่ามาให้นายพรานยิง เก่งกระทั้งสามารถกระโจนเข้างับคอหมูป่าตัวใหญ่ให้นายพรานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่อยู่มาวันหนึ่งเมื่อไอ้เสือจากหมาวัยหนุ่มเข้าสู่หมาวัยชรา เขี้ยวฟันที่เคยแข็งแรง เคยคมดุจใบมีดก็โยกคลอน เรี่ยวแรงเองก็ถดถอยลงตามวัย วันหนึ่งนายพรานพามันออกล่าหมู่ป่าอีกเช่นเคย ด้วยความที่เรียวแรงของมันลดน้อยถอยลง เขี้ยวฟันก็โยกเยก กัดไม่เข้า ไล่หมูป่าไม่ทันจนเป็นเหตุให้นายพรานคนนั้นโกรธจัด พอกลับถึงบ้านนายพรานจึงจับมันเฆี่ยนตีอย่างหนักพร้อมๆ กับจับถอดปลอดคอ แล้วไล่มันหนีให้พ้นบ้านของตัวเอง ด้วยความที่มันเคยรับใช้นายพรานมาทั้งชีวิตและนายพรานก็มักจะโยนเศษเนื้อที่มันออกล่าได้มาให้กินเป็นประจำ พอโดนไล่ออกจากบ้านในขณะที่ร่างกายรอมร่อ-ไม่ไหว ที่สุดแล้วไอ้เสือก็นอนตายอย่างอเนจอนาถอยู่ข้างถนนโดยไม่มีหมาตัวไหนเหลียวแล
นิทานเรื่องหมาล่าเนื้อได้จบลงไปแล้ว แต่อีก 1 ชีวิตที่ไม่ต่างกันกำลังนอนซมพิษไข้อยู่บนเตียงพยาบาลใครอยากอ่านเรื่องของเขาบ้างยกมือขึ้นสูงๆ ครับ
มา! ตาม Timmy มาเลย เดี๋ยวผมจะเรียบเรียงให้ได้อ่านกันชัดๆ
แดดสีวะนิลาสุดท้ายกำลังลดระดับเข้าสู่เฉดสีอำพัน ผมหอบดอกไม้พร้อมกับซุปไก่สกัดยี่ห้อหนึ่งมาด้วย 1 โหล มันเป็นเงินจากพนักงานที่เรี่ยไรมาเพื่อซื้อของเยี่ยมคนป่วย พี่กนกเป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัทและยังเคยเป็นพนักงานดีเด่นหลายปีติดต่อกัน กระทั้งพี่กนกเข้าสู่วัยชราตำแหน่งดังกล่าวจึงหลุดไปอยู่ในมือของเด็กรุ่นใหม่ แก่ป่วยออดๆ แอดๆ มาสักระยะหนึ่งแล้วละครับ เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นว่าเล่น และคราวนี้แกน่าจะเจ็บหนักกว่าทุกครั้ง ผมในฐานนะพนักงานดีเด่นประจำปีเลยถือโอกาสเรี่ยไรเงินเพื่อนๆ ซื้อของมาเยี่ยม ผมมาพร้อมกับน้องพนักงานใหม่คนหนึ่งครับ เรามาถึงโรงพยาบาลที่ว่าหลังหกโมงเย็นนิดหน่อย พอมาถึงห้องคนป่วย พยาบาลที่อยู่ในห้องก็หลีกทางให้พวกเราได้อยู่กันตามลำพัง
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้างพี่”
“น้อง Timmy น้องเต้”
“ครับพี่เป็นอย่างไรบ้างดีขึ้นรึยัง” เต้ถามเบาๆ ทั้งคู่สนทนากันพักหนึ่งก่อนเต้จะขอตัวออกไปนั่งสูบบุหรี่รอด้านนอก พี่กนกจึงได้อยู่กับผมเพียงลำพัง
“Timmy พี่มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง…”
ผมเลยดึงมือพี่กนกมาตบปลอบเบาๆ “ครับพี่” เมื่อเรา 2 คนจูนคลื่นตรงกันเรียบร้อยแล้ว พี่กนกจึงเริ่มต้นด้วยท่าทียากลำบากพอควร
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…สมัยที่พี่ยังอายุเท่าๆ Timmy พี่เป็นพนักงานดีเด่นเช่นเดียวกับ Timmy มาโดยตลอด คุณเฉลิมชัยรักพี่ไว้ใจพี่มากๆ เพราะอะไรนั้นหรือ…ก็เพราะว่าเวลานั้นพี่ยังทำงานให้เขาได้ คนอื่นมีโบนัสปีละครั้ง แต่พี่มักจะได้พิเศษเฉลี่ยปีละ 2 ครั้งเสมอ คนอื่นเขาทำงานกันวันละ 8 ชั่วโมง แต่พี่ถ้างานไม่จบพี่ไม่ยอมวางมือ จะดึกดื่นแค่ไหนพี่ก็ทำได้ เช่นเดียวกับ Timmy ทุกวันนี้ ต่อมาเมื่อพี่แก่ตัวลง ทำงานทำเงินให้คุณเฉลิมชัยไม่ได้ตามเป้า พี่ก็มักจะโดนเรียกเข้าไปอบรมในห้องเย็นอยู่เป็นประจำ กระทั้งพี่ป่วย สุขภาพไม่ดี คุณเฉลิมชัยก็ไม่อยากให้พี่กลับไปทำงานให้เขาแล้ว แต่พี่ก็ฝืนหน้าด้านไปทำงานด้วยเพราะพี่ไม่มีทางอื่นจะไป คิดไปคิดมาพี่ก็เสียดายเวลานะ ที่เมื่อตอนหนุ่มๆ ตอนพี่ยังแข็งแรงพี่ไม่คิดจะออกไปทำงานอื่น ด้วยพี่จงรักภักดีกับคุณเฉลิมชัยมากเกินไป Timmy ฟังพี่ให้ดี-ดูพี่เป็นตัวอย่าง-อ่านพี่ให้ทะลุนะ เวลานี้พี่กับหมาล่าเนื้อก็ไม่ต่างกัน ถ้าพี่อายุเท่าๆ Timmy ถ้าพี่กล้าคิดนอกกรอบสักนิด พี่คงไม่ตกหลุมพรางเหมือนในวันนี้ พี่ว่า Timmy น่าจะเข้าใจสิ่งที่พี่พูด หมาล่าเนื้อแก่ๆ อย่างพี่มันหมดประโยชน์เขาก็ถอดปลอกคอไล่ออกจากบริษัท เขาให้เงินพี่มาแสนต้นๆ เอง Timmy พี่จะทำอย่างไรดี ครอบคัวลูกเต้าพี่ก็ไม่มี ค่ารักษาพยาบาลยังไม่รู้จะพอหรือเปล่าเลย”
ผมนั่งฟังและค่อยๆ คิดตาม นี้คือบทเรียนของหมาล่าเนื้อรุ่นเก่ากำลังจะบอกอะไรกับหมาล่าเนื้อรุ่นใหม่ ผมไตร่ตรองทุกๆ คำพูด ทบทวนทุกๆ อิริยาบถที่สะท้อนออกมาจากชายที่กำลังนอนอยู่บนเตียงพยาบาลสีขาว หากผมไม่ตระหนัก วันหนึ่งข้างหน้าผมกับพี่กนกคงตกอยู่ในสถานะไม่ต่างกัน ผมจะทำอย่างไรดีในขณะที่ร่างกายผมยังแข็งแรง ผมจะต้องแข็งขืน ขวนขวายหางานใหม่ หาช่องทางอื่นๆ ที่ตัวเองสามารถควบคุมได้เองอย่างนั้นหรือ ผมคิดไปยิ้มไปพลางดึงมือพี่เขามาบีบแน่นๆ แทนคำขอบคุณที่ได้ตีแผ่เรื่องราวของหมาล่าเนื้อให้ฟัง หากผมไม่คิดจะไปเยี่ยมพี่เขาในวันนั้น ผมคงเป็นพนักงานงานดีเด่นติดต่อกันอีกหลายๆ ปี และอีกหลายปีข้างหน้าผมก็คงอยู่ในสถานะเช่นเดียวกับพี่กนกแน่นอน
“ขอบคุณมากๆ ครับพี่ ผมว่าผมพอจะเห็นหนทางของตัวเองแล้วละ….ผมจะไม่ยอมเป็นหมาล่าเนื้อให้ใครนอกจากตัวเอง”
“ฝากขอบใจน้องๆ ที่ทำงานด้วยนะที่อุตส่าห์เรี่ยไรเงินซื้อของมาเยี่ยม มันคงหมดเวลาสำหรับนิทานเรื่องหมาล่าเนื้ออย่างพี่แล้วละ Timmy”
“อ้าว!….ทำไมถึงพูดแบบนั้นละพี่”
“หมอบอกพี่ว่า พี่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน”
“พี่!…”
“มันเป็นความจริง หรือหากปาฏิหาริย์มีจริง หมาล่าเนื้อตัวนี้ก็คงแก่เกินไปแล้วละ”
“ใจเย็นๆ ครับพี่ค่อยๆ คิด….”
“พี่รู้ตัวละ Timmy ช่วงชีวิตของหมาล่าเนื้อตัวนี้คงจบลงที่นี่ ตรงนี้แหละ…หากพี่ไม่อยู่แล้วก็ฝาก Timmy เอาซุปไก้สกัดกลับไปแจกเพื่อนด้วยละ บอกพวกเขาว่านี้เป็นของของฝากชิ้นสุดท้ายจากพี่กนกก็แล้วกัน”
“พี่ ทำไมถึงพูดอย่างนั้นละครับ พี่ต้องสู้ซิ”
“พี่พูดเรื่องจริง Timmy นี้คือความจริง พี่ไม่ได้ฝัน มันคือเรื่องจริงของหมาล่าเนื้อแก่ๆ ตัวหนึ่ง”
ครับหลังจากวันนั้นอีก 4 เดือนกับ 8 วันพี่กนก หมาล่าเนื้อแก่ๆ ก็จากพวกเราไป คุณเฉลิมชัยไปร่วมงานศพอยู่วันหนึ่งและผมก็ไม่เห็นเขาอีก กระทั้งหมาล่าเนื้อวัยหนุ่มยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการ คุณเฉลิมชัยถึงได้เรียกผมเข้าพบ เราเจรจากันตัวต่อตัว เจรจาเรื่องการทำงานในอนาคตแบบคู่ธุรกิจ เขาได้-ผมได้ เขาเสีย-ผมยอมเสียจนลงตัว ผมจึงออกมาทำฟรีแลนซ์อย่างเช่นในปัจจุบัน ใครไม่อยากเป็นหมาล่าเนื้อ ใครกำลังจะออกจากงานประจำมาทำฟรีแลนซ์ ผมขอแนะนำให้ไปอ่านบทความชุด คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “ฟรีแลนซ์” ก่อนนะครับ ถ้าสามารถควบคุมตัวเองได้ตามที่ผมเขียน คุณก็กระโจนออกจากบริษัทมาทำงานของตัวเองให้ไว อย่าได้คิดเยอะ อย่าคิดมาก อย่าเทียวถามคนโน้นถามคนนี้ จงเชื่อมั่นในตัวเอง เคารพตัวเองดีที่สุด เพราะอะไร ก็เพราะว่ามันดีกว่ามากๆ ใครบอกว่า ฟรีแลนซ์เป็นงานไม่มั่นคง ทำงานบริษัท ทำงานราชการดีกว่า อย่าไปเชื่อครับ เพราะความมั่นคงที่แท้จริงคือตัวเราเอง เมื่อเรามั่นใจ เราก็จะมั่นคงด้วยตัวเรา อนาคตก็มั่นคง จากความมั่นคงก็จะนำไปสู่ความมั่งคั่งในอนาคต
สูตรสำหรับ 1 วงจรชีวิตก็มีแค่นี้ คุณทำ คุณได้ คุณเป็น หมาล่าเนื้อ นายพรานเขาก็ได้ แต่ถ้าคุณเป็น หมาจรจัด ล่าเนื้อไว้กินเอง คุณก็จะได้กินเอง อิ่มเอง ไม่ใช่ได้แค่เศษเนื้อที่นายพรานโยนให้ คิดให้ดีแล้วรีบสรุปบทเรียนชีวิตซะว่า “คุณจะยอมเป็น หมาล่าเนื้อ ให้นายพรานไปทั้งชีวิตหรือจะเป็นแค่ หมาจรจัด ที่อยู่ได้ทุกๆ สถานการณ์ ขอบคุณและสวัสดีครับ