AI หุ่นอัจฉริยะ

AI หุ่นอัจฉริยะ

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI หุ่นอัจฉริยะ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ อ่านเพิ่มเติม AI หุ่นอัจฉริยะ

ลูกอีสาน

ลูกอีสาน

ลูกอีสาน คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ

ลูกอีสาน

ปลายปี 2547 ในห้องประชุมชั้น 23 สำนักงานใหญ่ ถนนรัชดาภิเษก

“Timmy ลูกค้า: คุณไพโรจน์งวดสุดท้าย…นัดจ่ายวันไหนนะ”

“อาทิตย์หน้าวันศุกร์ครับ….”

“คราวนี้คงเลื่อนไม่ได้แล้วน่า!…”

“ผมก็หวังว่าอย่างนั้น”

แล้วอยู่ๆ ประตูกระจกหน้าห้องก็ถูกผลักเข้ามาแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย…“เฮ้ย!!!!!!!…… SA…TP….พวกคุณช่วยผมดูข่าวที่ลงหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายวันนี้หน่อยดิ….คุณไพโรจน์โดนฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย…ใช่คุณไพโรจน์ลูกค้าเราหรือเปล่าวะ”

ผมลุกถลาไปรวมกับกรรมการผู้จัดการ 3 คนที่ยืนเป็นหุ่นอยู่หน้าห้องประชุมทันที…ผมไล่อ่านชื่อสกุลบุคคลล้มละลายแล้วก็นึกถึงหน้าลูกค้ารายสำคัญแบบกำลังวิเคราะห์….ใช่แน่ๆ….หลังๆ ถึงว่าทำไมดูแปลกๆ…แต่จะเป็นไปได้รึ!….เขาออกจะไฮโซฯ หรูหรา บ้านช่องก็หลายหลัง โรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูก็ใหญ่โต บ้านกำลังจะสร้างเป็นเรือนหอให้ลูกสาวที่กำลังจะแต่งงานกับ สส.พรรคใหญ่ นามสกุลดังที่จะจัดขึ้น….การ์ดเชิญ กำหนดวันที่โรงแรมพล่าซ่าแอทธินี่ก็อยู่ในมือผมเรียบร้อย…เป็นไปไม่ได้…ยังโทรคุยกับฮัทซึที่แอลเออยู่เลย….วันจ่ายเงินงวดสุดท้ายก็ Confirm เรียบร้อย…เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

“เออ…. ผมว่าใช่จริงๆ นั้นแหละ…”

“โอ้!….ตาย!…แบบนี้งวดสุดท้ายจะเก็บได้รึเปล่าเนี่ย…Timmy Timmy ลองโทร Confirm ลูกค้าอีกรอบซิ”

“ครับ…ได้ครับ” ผมเดินเร็วไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่หน้าห้อง…ก็เหมือนทุกคนจะก้าวมาหยุดด้านหลังของผม… “กริ้งๆๆๆ…….กริ้งๆๆๆ…..” รออยู่นานแต่คุณไพโรจน์ก็ไม่ยอมรับสาย ผมหันมาเผชิญกับสายตาทุกคู่ที่คล้ายจะทราบคำตอบอยู่แล้ว…..

พอเลิกประชุมเกือบ 18.00 น. ขณะที่กำลังจะเดินไปยังรถยนต์ที่จอดไว้บนชั้น 4 เสียงโทรศัพท์เรียกเข้า….ผมไม่ได้นึกถึงใครนอกจากไอ้คุณ หรือไม่ก็เพื่อนคนใดคนหนึ่ง….แต่เมื่อยกขึ้นมาดู… “คุณไพโรจน์….” ผมอุทานอย่างคนแปลกใจและตื่นเต้นไปพร้อมกัน…ด้วยความที่เคยออกแบบโรงงาน-บ้านพักอาศัยอีก 4 หลังผมกับคุณไฟโรจน์จึงถือได้ว่าคุยกันถูกคอระดับหนึ่ง…อย่างน้อง ฮัทซึ ลูกชายคนเดียวของเขาที่กำลังเรียนที่แอลเอ ประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้คำแนะนำจากไอ้คุณเป็นหลัก (ไอ้คุณจบไฮสคูลจากซานฟรานซิสโก) ผมเจอฮัทซึตั้งแต่เรียนยังไม่จบ ม.3 กระทั้งเดินทางไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ก็ประมาณเจอหน้ายกมือไหว้….แต่ธรรมชาตินกป่าปีกสีน้ำตาลเปลือกไม้หรือนกกระจอกจากแดนอีสานก็มิอาจตีค่าความสนิทสนมมากไปกว่าลูกของลูกค้าหรือเจ้านายคนหนึ่งเท่านั้น….จนในที่สุดผมก็รับโทรศัพท์แบบเกร็งๆ

“สวัสดีครับพี่”

“คุณ Timmy…ช่วงนี้ผมกำลังวุ่นสุดๆ….คือแบบนี้ครับ วันพุธก็คือวันพรุ่งนี้ ฮัทจะกลับมา…ผม…ผมเออ…ผมฝากฮัทไว้กับคุณสัก 2 วันได้ไหม”

ผมอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ไปต่อไม่เป็น…ไม่รู้จะเริ่มพูดคำไหน….

“……..”

“ถ้าไม่สะดวก…..”

“สะดวกครับพี่สะดวกครับ”

“คุณคงรู้เรื่องของผมแล้วซินะ…..”

“หนังสือพิมพ์กรอบบ่ายของวันนี้เองครับ”

“ผมยังไม่อยากให้ญาติรู้ว่าฮัทกลับเมืองไทย…”

“ส่งไฟท์บินมาเลยครับพี่….ผมจะจัดการให้”

“ขอบคุณมาก…เมื่อกลับเข้ากรุงเทพผมจะแวะไปรับทันที”

“ครับพี่…ไม่ต้องเป็นห่วง…และขอบคุณที่ไว้ใจผม”

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณและคุณคุณ”

“ครับ….ผ่านมันไปให้ได้นะพี่…ผมเอาใจช่วย”

“ขอบคุณมากๆ ขอบคุณอีกครั้ง Timmy”

ลูกอีสาน…ทำไมต้องลูกอีสาน….เนื้อเรื่อง- เนื้อหาที่เกริ่นมาไม่น่าจะไปกันได้เลยสักนิด….

มา!….ตาม Timmy ให้ทัน…จะสาธยายขยายความให้ได้รู้ถึง มุมเล็กๆ มุมหนึ่งที่เป็นจุดแข็งของลูกอีสานเมื่อเทียบกับลูกชายไฮโซฯ ในเมืองกรุง…ความสุขในมุมเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ใกล้ๆ คุณ คุณ คุณและคุณ…คุณจะได้เห็น ได้เจอมันสักที

หลายๆ คนเชื่อว่าหนี้สิน นำมาซึ่งทรัพย์สิน ถ้าไม่มีหนี้ทรัพย์ก็ไม่เกิด ถึงกระนั้น บุคคลใดที่กำลังคิดจะก่อหนี้ต้องใช้สติมองโลก อ่านเกมอนาคตให้แตก ก่อนคำว่า  “หนี้ล้นพ้นตัว” จะ Say Hi…Good Morning ยัน Good nightmare ฝันร้ายจะมาเยือน

ครับ…ผมอยากจะเสริมความรู้ที่เกี่ยวกับบุคคลล้มละลายให้ได้อ่านกันซะก่อน…วัคซีนครับวัคซีน…กินยาก-ฉีดยากแต่ก็ควรกินควรฉีด เจ็บหน่อย น่ากลัวนิดๆ แต่ได้ภูมิคุ้มกันระยะยาว…ทนๆ อ่านนะTimmy รับรองผลว่าดีต่อสมองแน่นอน

บุคคลล้มละลายคืออะไร? มีผลอย่างไรบ้าง?

การเป็นบุคคลล้มละลาย มาจากสาเหตุอะไร?

การเป็นบุคคลล้มละลายนั้นมีสาเหตุจากการที่เรามีหนี้สินมาก และไม่สามารถชำระคืนกับเจ้าหนี้ได้ จึงถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย โดยการจะถูกฟ้องล้มละลายนั้นมีสาเหตุมาจาก

  • เป็นบุคคลธรรมดา – ที่มีหนี้สินเกิน 1 ล้านบาท
  • เป็นนิติบุคคล – ที่มีหนี้เกิน 2 ล้านบาท
  • เป็นผู้ที่เข้าข่ายว่า “มีหนี้สินล้นพ้นตัว” หรือ “ไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้”

การโดนฟ้องล้มละลายนั้นมีโอกาสเกิดกับทุกคน…หากว่ามียอดหนี้สูงเกินกว่าที่ พรบ.ล้มละลาย ได้กำหนดไว้ และพระราชบัญญัติล้มละลายก็ไม่ได้จำกัดว่า ผู้ที่ล้มละลายจะต้องเป็นบุคคลประเภทใด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลประเภทใดก็สามารถล้มละลายได้เช่นกัน

การเป็นบุคคลล้มละลาย มีผลอย่างไรบ้าง?

การเป็นบุคคลล้มละลายจะมีผลทำให้เราไม่สามารถทำนิติกรรม นิติกรรมสัญญา ใดๆ ทั้งสิ้นได้ รวมถึงธุรกรรมการเงินต่างๆ  เช่น เปิดบัญชีธนาคาร เป็นต้น และยังส่งผลทำให้เราไม่สามารถดำรงตำแหน่งในบริษัทหรือห้างร้านต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งในส่วนของการดำรงตำแหน่งนี้ หากมีความจำเป็นก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน จึงจะสามารถดำรงตำแหน่งได้

การเป็นบุคคลล้มละลายมีผลต่อการเดินทางไปต่างประเทศหรือไม่?

การเป็นบุคคลล้มละลายมีผลต่อการเดินทางไปต่างประเทศ เพราะจะทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปจริงๆ ก็ต้องขออนุญาตจากพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สินก่อน โดยเราจะต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าจะไปที่ไหน เป็นระยะเวลาเท่าไหร่ จะมีรายได้เท่าไหร่ และนำส่งรายได้ประมาณ 30% เพื่อชำระหนี้ ทั้งนี้การจะอนุญาตให้ออกนอกประเทศหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นหลัก

ซึ่งหากเราได้รับอนุญาตให้ออกนอกประเทศ… เราที่เป็นบุคคลล้มละลายจะต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย ส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ทุกๆ 6 เดือน พร้อมทั้งส่งรายได้ตามที่เจ้าพนักงานจะอายัดเข้ากองทรัพย์สินด้วย และบุคคลล้มละลายจะต้องแจ้งชื่อผู้ที่เจ้าพนักงานฯ จะสามารถติดต่อได้ในระหว่างที่บุคคลล้มละลายไปทำงานที่ต่างประเทศ ทั้งนี้บุคคลล้มละลายจะต้องปฏิบัติตามที่ได้ตกลงกับเจ้าพนักงานฯ ไว้อย่างเคร่งครัด

ระยะเวลาเท่าใดจึงจะพ้นสภาพการเป็นบุคคลล้มละลาย?

  • การถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้น จะมีระยะเวลา 3 ปี เมื่อครบกำหนดก็จะถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย ยกเว้นกรณีที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหนี้ ก็อาจจะมีการขยายเวลาเป็น 5 หรือ 10 ปีก็ได้
  • เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี ก็ให้บุคคลล้มละลายติดต่อกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สินเพื่อขอปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย
  • หลังจากปลดจากการเป็นบุคคลล้มลายแล้ว ก็จะสามารถทำงานและทำธุรกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ

หลังถูกปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย หนี้จะหมดไปด้วยหรือไม่?

สำหรับบุคคลล้มละลายที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเข้าให้การและเข้าพบเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้น เมื่อครบกำหนดเวลาก็จะถูกปลดจากการล้มละลายทันที ซึ่งคำสั่งปลดจากการล้มละลายนี้ จะส่งผลให้บุคลล้มละลายนั้นหลุดพ้นจากหนี้สินทั้งปวงด้วย  ยกเว้นแต่หนี้สินที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรหรือหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการทุจริต ฉ้อโกงของบุคคลล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 81/1

(ขอบคุณข้อมูลจาก :  MoneyGuru.co.th ,krisdika.go.th , Sanook , wiki กฎหมายล้มละลาย , Kapook , กรมบังคับคดี , กระทรวงยุติธรรม)

ฮัทซึ….เป็นคนไทยเชื้อสายจีนนะครับ  เขามักจะเรียกผมว่าเฮียตามพี่สาวของเขา…ที่ผมจะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่าเฮียตั้งแต่บรรทัดถัดไปนั้น…อยากจะบอกว่าไม่ได้กระแดะนะ ผมเป็นบักเสี่ยวอีสานของแท้…กระแดะบวกๆ ก็เฉพาะชื่อ Timmy เท่านั้นเอง…ชัดเจนนะครับ…

ภาพที่ผมเห็นครอบครัว ฮัทซึ เป็นครอบครัวคนจีนสมัยใหม่ที่ถือได้ว่าร่ำรวยเอามากๆ มีโรงงาน 3 แห่ง บ้านที่ผมออกแบบและก่อสร้างให้ ก็ 4 หลังเข้าไปแล้ว พ่อของฮัทซึหรือพี่ไพโรจน์เป็นนักธุรกิจและมีเพื่อนเป็นอาจารย์ฝรั่งเข้ามาสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายคน เขาจึงสร้างบ้านให้ฝรั่งเช่าเป็นธุรกิจเสริมประมาณนี้นะครับ

ฮัทซึ เป็นลูกชายคนเดียว-หน้าตาดีแบบตี๋อินเตอร์เกาหลี+ญี่ปุ่น บางครั้งไอ้คุณมีหึงด้วยนะ โดยเฉพาะคืนนี้และคืนวันพรุ่งนี้…ก็ว่ากันไป ด้วยเหตุนี้ฮัทซึจึงเป็นเด็กค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากกินอะไรก็ต้องได้กินเป็นธรรมชาติของคุณหนูประมาณนั้น

…หลังจากคุยกันถึงรู้ว่า ฮัทซึรับรู้ปัญหานี้มาระยะหนึ่งแล้ว และพี่ไพโรจน์ก็กำลังวางแผนดึงตัวกลับมาเรียนต่อในประเทศเพื่อลดรายจ่าย การที่พี่ไพโรจน์ไว้ใจฝากลูกชายก็แสดงว่าเขาคงเห็นอะไรบางอย่างในตัวผม แล้วทีนี้มันก็เป็นปัญหาของผมละว่าจะแก้แบบไหน…จะปฏิบัติอย่างไรกับอดีตลูกชายไฮโซฯ คนนี้…เขาจะกินอะไร…นอนบนฟูก บนเตียงธรรมๆ ไหวไหม…น้ำดื่ม-น้ำอาบต้องใส่ใจแค่ไหน อู้!…เอาวะ Whereๆ of Whereๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ เขามาขออยู่กับเรา…ก็ต้องให้เขาปรับตัวซิ!….ไม่ใช่ผม…อยู่ได้ก็อยู่…อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ไหวฮัทซึคงโทรหาพ่อเขาเองแหละ….

อาหารจานแรกตอน 1 ทุ่ม

ผมไปรับฮัทซึตั้งแต่บ่าย 4 โมง กว่าจะเจอกันก็ 5 โมงนิดๆ….ฮัทซึโตขึ้นมากๆ หลังจากไม่ได้เจอกัน 2-3 ปี เขาใส่แว่นดำปิดบังดวงตาช้ำๆ เดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาคนเดียว …ฮัทซึยกมือไหวอย่างคนมีสำมาคารวะเช่นเดิม ผมพยายามอ่านเขา  อ่านความรู้สึกลึกๆ ก่อนจะคาดเดาไปเองว่า  ฮัทซึต้องร้องไห้มาอย่างหนักระหว่างนั่งมาบนเครื่องแน่ๆ ความรู้สึกเวลานี้ของฮัทซึจึงบอบบางไม่ต่างอะไรกับกระดาษร่างที่เปียกน้ำรอแรงฉุดกระชากเท่านั้น

“สบายดีนะฮัท” ผมทักคำที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด แต่ก็เป็นคำที่แทงใจดำมากที่สุด

“ครับเฮีย” มันตอบกลับสั้นๆ ผมขอลากกระเป๋าให้…ด้วยรู้สึกว่ากำลังของฮัทซึเวลานั้นเหลือน้อยลงทุกที “ไม่เป็นไรครับ…” มันตอบ…ซึ่งผมก็ว่านอนสอนง่าย ผมขับรถพามันมายังคอนโดเล็กๆ แถวบางกะปิ โดยผมไม่ปริปากถึงบ้านหรูหราในหมู่บ้านใหญ่ของมันเลยสักนิด มันก็เงียบลอยๆ จนคล้ายกับคนเมากระทั้งพามันมาถึงห้อง-คอนโดผมมี 2 ห้องครับ ห้องหนึ่งเป็นห้องทำงาน อีกห้องเป็นห้องนอนที่เป็นเตียง 2 ชั้น ธรรมดาๆ….

“ห้องเฮียก็แบบนี้แหละ นอนได้นะ….ฮัทนอนข้างบนละกัน เฮียขี้เกียจปีน”

“ครับ….”

“หิวไหม….” ผมถามขณะฮัทซึนั่งหันหลังกำลังเปิดกระเป๋าเดินทาง….สุดท้ายแผ่นหลังมันก็สะท้านให้เห็น ผมพยายามรับรู้กับสิ่งที่มันกำลังเผชิญ พยายามเข้าใจเด็กหนุ่มไกลบ้านได้กลับบ้านแบบคนไม่เหลือบ้านให้กลับ….ผมลูบแผ่นหลังเป็นการปลอบ…สักพัก…

“ฮัทอยากอยู่คนเดียว”

ผมยังไม่วางใจ…เลยนั่งเป็นเพื่อนสักพัก…ถ้าฮัทซึจะฆ่าตัวตายมันคงไม่ถ่อกลับมาถึงประเทศไทยเป็นแน่….ผมคิด…ก่อนจะลุกเดินไปยังประตู

“อยู่คนเดียวได้แน่นะ….เฮียจะลงไปซื้อข้าวมาให้”

“ฮัทมีขนมปังจากบนเครื่องแล้ว….” มันชูให้เห็นแล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนผมต้องเดินเข้าไปกอดให้นิ่ง….ไม่มีคำพูดใดๆจะปลุกปลอบนอกจากอ้อมแขนแน่นๆ ด้วยพลังด้วนบวก…

“ไม่เป็นไรเฮียหิว…กินข้าวผัดก็แล้วกัน” ผมบอก ฮัทซึมองผมแบบไม่ปิดปังและพยักหน้ารับแบบเด็กๆ

สรุป….อาหารเย็นของพวกเราก็คือข้าวผัด 2 ห่อ กับน้ำเปล่า 2 ขวด จริงๆ แล้วผมจะซื้ออะไรที่มากกว่านั้น หรือพาออกไปทานข้าวนอกบ้านแบบไฮโซฯ โก้เก๋ยังได้… แต่ในเมื่อฮัทซึจะต้องเผชิญกับศึกหนัก…ผมก็ต้องค่อยๆ ให้รับรู้รสชาติขมๆ ขื่นๆ ของคนจน ของคนอีสานทีละน้อย….ฮัทซึนั่งเขี่ยข้าวผัดไปมาหลายรอบก่อนจะใช้ลิ้นแตะชิมรสบางๆ….สุดท้ายความหิวก็บังคับให้กินจนหมด

ดึกๆ หิว….ผมก็บอกมีบะหมี่สำเร็จรูปในครัว  ฮัทซึก็เดินวนไปวนมาหลายรอบแบบคนคิดหนักสุดท้ายก็สารภาพว่า…ไม่เคยทำ

ผมจึงต้องเริ่มสอนตั้งแต่ต้มน้ำร้อน แกะบะหมี่ใส่ถ้วย-รอ-รินน้ำร้อนใส่-ปิดฝา-ปรุงรส ….อยู่ๆ ผมก็เอะใจขึ้นมา…ตอนอยู่แอลเอ ฮัทซึอยู่อย่างไรวะ บะหมี่น่าเป็นอาหารมาตรฐาน…ยังทำไม่เป็นอีก….ฮัทซึบอกภายหลังว่า…ส่วนใหญ่จะกินแต่แฮมเบอร์เกอร์-สเต็กซ์-และอาหารฝรั่งที่ญาติจัดไว้ให้….ผมถึงบางอ้อ…พร้อมๆ กับเป่าลมออกมาทางปาก (งานหนักแล้วกู) ผมคิดขณะมองหน้าฮัทซึที่ตั้งหน้าตั้งตาซดบะหมี่ 2 ซองอย่างตะกละตะกลาม….ผมนั่งอ่านฮัทซึด้วยความรู้สึกมากมาย กำลังเวทนาในโชคชะตาก็ไม่ถูกซะทีเดียว …แล้วอยู่ดีๆ ก็นึกถึงพี่ไพโรจน์ขึ้นมาอีก… ทำไมเขาจึงตั้งใจให้ฮัทซึมาใช้ชีวิตอยู่กับผมด้วยนะ….เขาเห็นอะไรในความเป็นลูกอีสานอย่างนั้นหรือ

“นี้เป็นครั้งแรกของฮัทที่กินบะหมี่เปล่าๆ”

ผมเผลอมองเพดาน ก่อนปล่อยลมหายใจทิ้งทางปากยาวๆ… “เฮียเป็นลูกอีสาน….ฮัท…สมัยเป็นเด็ก….ชีวิตของเฮียลำบาก….จนเห็นความลำบากเป็นความปกติ -มีกบกินกบ -มีหอยกินหอย -มีปลาร้ากินปลาร้า….เพราะมันคืออาหารที่ดีที่สุดของลูกอีสาน วันที่ไม่มีกินเป็นคืนที่หิวกระทั้งให้ห้วงหลับใหลเข้ามากลืนกิน….ไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายมีข้าวเหนี่ยวปั้นเดียว อย่างอื่นไปหาเอาข้างหน้า…ฮัทพ่อแม่เฮียไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีหนี้สิน พวกเราห่างจากการเป็นบุคคลล้มละลายหลายขุม….ไม่เคยมีบ้านหลังใหญ่นอกจากพื้นไม้เก่าๆ ที่สร้างบนเล้าควาย….แต่เราก็ฝันหวานทั้งๆ ที่กลิ่นขี้ควายขี้วัวลอยคละคลุ้ง…ที่ฮัทบอก…เป็นครั้งแรกที่ได้กินบะหมี่เปล่าๆ นะ….ไอ้บะหมี่เปล่าๆ ที่ว่า มันคืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับเฮีย…เตียงที่ฮัทจะหลับในคืนนี้อาจจะเป็นเตียงที่ห่วยแตกที่สุดในชีวิตของฮัท…แต่มันคือเตียงวิเศษที่สุดสำหรับเฮีย…ความจนติดลบ…ความหิวเกินขีดมาตรฐานช่วยให้ลูกอีสานอย่างเฮียอยู่ได้ในทุกๆ สถานการณ์…เฮียมีความสุขกับการกินบะหมี่เปล่าๆ….อร่อยกับปลากระป๋องจิ้มข้าวเหนียว…เพราะเหตุนี้กระมังที่พ่อฮัทจึงตั้งใจให้ฮัทมาเรียนรู้”

ฮัทนิ่งคิด….นั่งมองผนังอย่างคนใจลอยแบบกำลังคิดตาม….สักพัก…“แรกที่เจ้โทรบอกและสั่งให้กลับกรุงเทพฯ ฮัททำอะไรไม่ถูก นึกอะไรไม่ออก….ต้องไปนอนที่โรงงานเหรอ….จะนอนเข้าไปได้อย่างไร…ฮัทสารภาพนะเฮีย….ฮัทไปซื้อเชือกมาแล้วด้วย”

“หมายความว่า….”

“ฮัทตั้งใจจะตาย…แต่พอนึกถึงคำพูดที่เฮียเคยเล่าให้ฟังเมื่อหลายปีก่อน….ฮัทจึงขอป๋ะ รบกวนให้ป๋ะคุยกับเฮีย…ฮัทอยากมาอยู่กับเฮีย ตั้งใจจะมารับรู้ความเป็นลูกอีสานจากเฮียโดยเฉพาะ”

“อ้าว!….นี้แสดงว่า”

“ฮัทไม่เคยกินข้าวผัดแค่อย่างเดียว ฮัทไม่เคยกินบะหมี่เปล่าๆ….ฮัทไม่เคยเห็นควายตัวเป็นๆ…เฮียฮัทโตแล้ว…ชีวิตของฮัท….ชีวิตของครอบครัวฮัทต้องเริ่มต้นใหม่….ฮัทจึงอยากจะรู้ทุกเรื่องที่เฮียเคยเป็น….”

ผมอึ้งกับคำพูดของ ฮัทซึ… เขาป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด เป็นผู้ใหญ่ที่มีสติ จนผมอดจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งจมอยู่กับพื้นกระเบื้องราคาถูกๆ ไม่ได้…

“ฮัท อยากรู้อะไรจากเฮีย”

“ทุกอย่าง” เขาตอบตรงๆ…. “ฮัทพูดกับป๋ะแล้วสำหรับเงินงวดสุดท้ายที่ป๋ะติดบริษัทเฮีย…ฮัทจะเอาเงินที่เป็นของฮัทจ่ายแทน”

“เฮ้ย…..”

“ครับ….ถ้าฮัทอยากขอเป็นลูกอีสานด้วยคน เฮียจะรับไหม”

“OK…ลงทุนซะขนาดนี้พรุ่งนี้เฮียจะลางานพาฮัทไปเรียนรู้ความยากลำบากของลูกอีสานสักอาทิตย์ ดูซิว่าจะทนได้สักกี่น้ำ” ผมบอกแบบคนคิดกว้างๆ พร้อมกับอ่านเกมของกรรมการผู้จัดการบริษัท หากเก็บเงินงวดสุดท้ายโดยใช้ข้ออ้างนี้การลางานสักอาทิตย์ก็ไม่น่าจะมีปัญหา

เช้าวันต่อมา….ฮัทโอนเงินงวดสุดท้ายเข้าบริษัท…ผมลางานเพื่อเป็นอาจารย์พิเศษพาลูกศิษย์นักเรียนนอกอดีตคนเคยเป็นคุณหนู-ลูกไฮโซฯ ไปใช้ชีวิต ไปเรียนรู้ชีวิตของการเป็นลูกอีสานขนานแท้…ผมพาฮัทเข้าป่า…ไปรู้จักการใช้ชีวิตในป่า-นอนในป่า  กินอาหารป่า -กินพืช -กินผัก -กินปลาร้า….จนหลังๆ ฮัทซึมันกินปลาร้าได้แซบกว่าลูกอีสานอย่างผมซะอีก….พี่ไพโจน์กับครอบครัวย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่ไปอยู่ตึกแถวข้างๆ โรงงาน ฮัทซึย้ายกลับมาเรียนต่อที่เอแบคฯ เจ้…พี่สาวก็แต่งงานกับ สส.และย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังสุดท้ายที่ผมออกแบบให้….

คิดบวก…ความสุขในมุมเล็กๆ ของความเป็นลูกอีสานกลายเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่….อีก 4 ปีต่อมา ฮัทซึก็กลับไปทำงานกับญาติที่อเมริกา….และเขาก็กลายมาเป็นกำลังหลักของครอบครัว….ผม Timmy Buto ก็ได้แต่หวังว่าบทความสั้นๆ นี้จะแปลงเป็นพลังเสริมต่อให้ความอดทนยาวขึ้นไปอีกหน่อย…สู้ต่อไป….ค้นหาความสุขที่มักจะซุกซ่อนในมุมที่คุณไม่เคยสนใจให้เจอ…แล้วทุกอย่างจะเป็นของคุณ โชคดีครับ

อกหักมาลักเหล้าแบล็ค

อกหักมาลักเหล้าแบล็ค

อกหักมาลักเหล้าแบล็ค คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ

อกหักมาลักเหล้าแบล็ค

“หา!….ต๊าย!…ตาย ตาย กูตาย”

ยัง!…ยังไม่เริ่มเล่าเลยจะตายซะแล้ว…

“อ้าว! รึ!…อยากจบแม่ง!ตั้งแต่เริ่มต้น….อกหักเหี้ยไรวะ ขโมยโทรศัพท์กูไปง้อแฟนตั้ง 2655 บาท…..นี้ๆบิลที่ 2 คงตัดสวาทขาดรักอีก 1640 บาท…..เฮ้ยๆ…อ้าว!!…ทำไมแบล็คเลเบิ้ล…เบา….อ้าว!หมด….ขวดนี้ก็หมด ขวดนี้ด้วย ขวดนี้อีก….อ้าวๆ…..ตาย ต๊าย! กูตาย….เหล้าหมดเหลือแต่ไวน์ล้วนๆ…..”

ครับ….วันนี้ผมจะมาแฉไอ้เชี้ย!น้องชายตัวแสบ…ให้มันรู้แล้วรู้แรดไปเลย

มา!….ตาม Timmy ให้ด่วนๆ….มันต้องเละกันไปข้างละ….ฮื้อ!…โกรธๆ…หุนหวยเด้!….ส่างแถวนี้บ่มีบ่น้อ… กูสิฆ่าซอยซิ้นปิ้งกินให้มันฮ้ากแตกฮ้ากแตนตายไปโลด….หุนหวยโหว่ย!

….แปลหน่อยเดี๋ยวไฮโซจะไม่เข้าใจ…เอ่อ!…ก็ประมาณว่า…..หงุดหงิดจังเลยจ้า!….ช้างแถวนี้มีสักตัวไหมจ๊ะ! ฉันจะแร่เนื้อปิ้งกินให้อ๊วกแตกไปเลย….หงุดหงิดมากๆจ้ะ!….ประมาณนี้นะครับ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้วละ ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า…เป็นคืนวันอาทิตย์  เพื่อนผมซึ่งเป็นฝรั่งชาวสหรัฐอเมริกาจะเดินทางกลับ มันมากับเพื่อนมัน 2 คน ผมกับเพื่อนคนไทยก็เลยอาสาไปส่ง…ซึ่งสมัยนั้นสนามบินสุวรรณภูมิเพิ่งกำลังถมทรายใหม่ๆ…ผมต้องไปส่งมันขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ไฟท์บินตี 4 นิดๆ นะครับแต่เราวางแผนว่าจะไปนั่งเล่นคุยกันต่ออีกสักนิดที่สนามบิน ผมก็เลยไปรับเร็วหน่อยคือ 3 ทุ่ม ตอนนั้นผมอาศัยอยู่กับน้องชายคนเล็กที่คอนโดฯ แถวบางกะปิ ก่อนออกไปผมก็สั่งเสียน้องชายสุดเลิฟไว้ซะเรียบร้อยว่า

“คืนนี้อาจจะไม่ได้กลับนะ ต้องไปส่งเพื่อนขึ้นเครื่องตี 4 อาจจะแวะหลับที่บ้านไอ้หน่องที่ดอนเมือง” ไอ้น้องชายตัวดีก็ใช้นิ้วดีดกีต้า… ติ่ง!…ติง!…ติ๋ง!….เป็นเชิงรับรู้…เราก็เอะใจทำไมวันนี้เพลงมันเศร้าจังเลยวะ…ขอบอกก่อนครับว่าปกติเวลาผมอยู่กับน้องชายคนนี้ เราคุยกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะใช้เสียงเพลงสื่อสารแทน….ถึงเพลงที่ตอบกลับมาจะเศร้าแต่เราก็ OK ปล่อยมันทิ้งไว้ที่นี้แหละเพื่อนรออยู่

จากนั้นผมก็วนรถไปรับไอ้หน่องแถวปากซอยลาดพร้าว 130 ก่อนจะขับเลยไปเข้าซอยลาดพร้าว 122 ทะลุออกซอยมหาดไทยถนนรามคำแหงเพื่อไปรับเพื่อนฝรั่งหลัง ม.รามฯ

เรามาถึงสนามบินดอนเมืองเกือบๆ 5 ทุ่ม ก่อนเช็คอิน…เราก็หาร้านดื่มกันตามประสา …คุยกันไปจิบเบียร์ขวดกันไปกระทั้งใกล้ถึงเวลาเช็คอิน เพื่อนฝรั่งที่เดินไปเช็คตารางเวลาก็เดินกลับมาแจ้งประมาณว่า ไฟท์บินดีเลย์เกือบๆ ชั่วโมง เพื่อนฝรั่งก็เลยให้เรากลับกันก่อน แพลนตอนแรกกะว่าจะไปนอนบ้านไอ้หน่องแถวๆ ดอนเมือง…แต่มันดั้น!ลืมหยิบกุญแจมาด้วย…เลยวนรถไปส่งมันที่เดิม….ผมเห็นว่าใกล้บ้านละไม่อยากรบกวนพ่อแม่เลยขอตัวกลับคอนโดดีกว่า

พอ…พอ..ผม กลับมาถึงห้อง….อนิจจา….กูอยากตาย….

….เปิดประตูก่อนซิไอ้บ้า!…..ครับๆ….พอประตูหน้าห้องเปิด อนิจจา….กูอยากตายขึ้นมาทันทีทันใด….

“อะไรกันเนี้ย!”….เศษแก้ว เศษขวดเบียร์…เหล้า น้ำแข็ง จาน ช้อน อาหาร อ๊วก….ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายไปทั้งห้อง แล้วน้องกูละ แม่งนอนแก้ผ้าเป็นลูกหมาเกลือกกลิ้งน้ำเปียกๆ อยู่กับพื้น

“สลบ หรือว่าหลับวะ” ตอนนั้นผมตกใจแทบยืนไม่อยู่ สติสะตังกำลังเรียบเรียง-วิ่งวุ่นอยู่ในหัว

“บ้าเอ้ย!”ผมใช้นิ้วอังที่จมูก (กลัวมันตาย) เมื่อสัมผัสถึงลมหายใจแผ่วๆ…ผมก็ใจชื่น สติกำลังมาแล้วละ ในหัวเกิดคำถามขึ้นมากมาย

#จะทำอย่างไรดี#

#ทิ้งไว้แบบนี้แหละ มันเป็นคนทำก็ต้องให้มันจัดการเก็บกวาดเอง#

#แต่สภาพแบบนี้…พรุ่งนี้จะตื่นไปทำงานไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้#

#ว่าแต่มันเป็นไรของมันวะ….แต่ดูจากสภาพกูว่ามันอกหักชัว#

#เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะเล่นบ้างละ….แต่ถ้ามันอกหักจิตใจของมันกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอสุดๆ…ถ้าด่าแถมเผลอหลุดปากไล่….ถ้ามันหนีไปในสภาพนี้…เกิดมันคิดสั้น…ใช่! คนอกหัก กูก็เคยอกหัก ความคิดชั่ววูบอาจจะฆ่ามันได้…ถ้าน้องชายกูคิดสั้นขึ้นมา….กูจะทำอย่างไรวะ# ผมนั่งลงข้างร่างเปลือย ผมมองมันนิ่งๆ พยายามจ้องกะจะให้ถึงความคิดที่กำลังหลับของมัน

#ไม่ได้ กูจะด่าน้องในสภาพที่มันอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้….ต้องให้กำลังใจมัน… ให้มันตื่นขึ้นมาในสภาพคนๆ ใหม่ ในสภาพที่มีเราเป็นที่พึ่ง….และมันก็คงต้องการเรามากๆ ในเวลานี้….กูผิดเองที่คืนนี้ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนมัน…พี่ขอโทษ#

“พี่ขอโทษที่ไม่อยู่ในยามที่นายต้องการ….ขอโทษจริงๆ” ผมหลุดเสียงดังออกมา

เมื่อตอบบทสรุปดังนั้น…ผมจึงหาผ้าชุบน้ำเย็นมาล้าง มาเช็ดอ๊วกที่เปอะเปื้อนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าให้น้องชาย เสร็จแล้วก็หาเสื้อผ้ามาสวมใส่…. สุดท้ายก็ค่อยๆ อุ้มร่างที่กำลังหลับขึ้นวางบนเตียงนอน…

#แล้วสิ่งของที่เหลือละ?#

เออ!….ไม่เป็นไรนะน้องนะเดี๋ยวพี่จะเก็บกวาดให้เอง…เมื่อคิดได้ดังนั้น ถังขยะ ไม้กวาด ไม้ถูพื้นก็มาอยู่ในมืออัตโนมัติ ผมเก็บกวาดเช็ดถูอย่างคนมีสติ เศษอาหาร เศษอ๊วกบอกความรู้สึกบอกรสชาติของความรักขมๆ ขื่นๆ อย่างชัดเจน น้ำที่เปียก เจิ่งนองอยู่บนพื้นคงจะมีน้ำตาจากความรักเจือ-ปะปนอยู่ไม่น้อย

คิดบวกในเมื่อผมไม่ได้อยู่ในเวลาที่น้องต้องการ ไม่ได้อยู่เช็ดน้ำตาให้ในยามที่มันยังอยู่บนแก้ม พี่คนนี้ก็ขอเช็ดน้ำตาของน้องบนพื้นแทนแล้วกัน…ในหัวก็คิด ขณะที่มือก็ไม่ยอมหยุดกระทั้งทุกสิ่งอย่างกลับเข้าที่

……เกือบสว่างแล้วละ….ผมเดินกลับไปนั่งลงข้างๆ มันแล้วใช้หลังมือแตะเบาๆ ที่หน้าผาก ประมาณกลัวว่าจะมีไข้…ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่คาดการไม่มีผิด ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปหาซื้อแผ่นลดไข้ใน 7-11 มาแปะหน้าผากให้มัน ขณะที่กำลังนั่งจ้อง ในหัวผมก็คิดข้ามไปยามที่มันตื่น

“ประโยคแรกจะพูดอะไรกับมันดีน้อ….ถ้าประโยคแรกไม่สวยอย่าหวังว่าประโยคต่อๆ ไปจะใสสด” ผมนิ่งคิด คิด และคิด

“มันจะเขินเราไหม….มันจะอายเราหรือเปล่า…ถ้าทักว่าสวัสดี เป็นไงบ้าง ปวดหัวอยู่หรือเปล่า ไข้ลดหรือยัง….ยิ่งเมื่อมันตื่นขึ้นมาเจอสภาพห้องปกติ….มันจะโต้ตอบเราอย่างไร….แต่ไม่หรอกน่าอย่างไรกูก็เป็นพี่มัน  เคยเลี้ยง-เคยดูแลมันมาตั้งแต่เด็ก แค่เช็ดถูทำความสะอาดให้….มันคงไม่เขินถึงกับหนีเตลิดเปิดเปิงหรอกน่า…”ผมใช้หลังมือแตะหน้าผากมันอีก แสงนีออนเวลาเกือบๆ 5 นาฬิกายังสีขาวสีกระดาษ… ผมเหนื่อยมาก พรุ่งนี้ต้องเข้าประชุมที่สำนักงานใหญ่ (สายๆ ก็ได้) ผมคิดก่อนจะเดินไปปิดสวิทซ์ไฟแล้วปีนบันไดสู่ชั้น 2 ….แต่ผมก็ยังไม่หลับ ทำอย่างไรก็ไม่หลับ

“เอาวะ! ทักทายให้แมนๆ หน่อยแล้วกัน…เอาให้มันหลุดยิ้มหรือหัวเราะออกมาเป็นอันดับแรกละกัน…ฮื้ออออออ…เป็นไงเมื่อคืนหนักเลยรึ!…..ไม่ๆ….มันไม่ขำแน่นอน….เสียดายเมื่อคืนไม่ได้อยู่เละด้วย….ไปทำงานไหวไหมเนี้ย!…อกหัก อย่าลักเหล้าแบล็คนะ….เออเข้าท่า เอาประโยคนี้แหละ”

เมื่อตอบบทสรุปเรียบร้อยผมก็หลับ….ตื่นอีกทีก็เห็นมันเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว

“อ้าว!…ไปทำงานไหวเหรอ” ผมถามก่อน ….มันพยักหน้า ผมเลยยิ้มเขินๆ ให้…เมื่อเห็นอารมย์ของมัน โอกาสของผมก็มาถึง “เสียดายเนอะ เมื่อคืนไม่ได้ก๊งด้วย….อกหักทั้งทีก็ไม่บอก เสียดายจังเลย” มันยิ้มเกือบจะหัวเราะครับ…. “อกหักไปแอบลักเหล้าแบล็คเลเบิ้ลในตู้โชว์มากินไหมเนี้ย….ขโมยได้แต่ห้ามฉี่ใส่ก็แล้วกัน” คราวนี้มันชะงัก…ผมก็คิด เอ้!….กูพูดแทงใจดำมันรึเปล่าวะ…แต่มันก็หน้าเสียไปแล้ว

“ผมไปทำงานนะ” มันบอกสั้นๆ ก่อนจะเร่งสาวเท้าออกจากห้อง….ก่อนจะได้ยินเสียงมันหัวเราะลั่นโถงทางเดิน

“หึ!…ชักจะไม่ปกติแล้ววะ” ผมเลยกระโดดลงจากเตียงตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม….พอยกขวดเหล้าแบล็คที่ยังอยู่ในกล่องสีดำขึ้นเช็ค….โอ้มายก๊อต!… มันเบาโหวงราวกับเป็นแค่กล่องเปล่าๆ…..หึ!….ขวดนี้ก็หมด กล่องนี้ก็เบา กล่องนี้อีก…อ้าวๆ….ขวดนี้ก็ไม่เหลือ….แม่งเอ้ย!…..” ผมหัวเสียอยู่พักหนึ่งก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะตามมันไปติดๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า “เชี้ยเอ้ย!”

คิดบวก…. “มันไม่ฉี่หรือเติมชาเข้าไปเหมือนกับไอ้ริดกินแบล็คในโฆษณาก็บุญแล้ว….ฮ่า ฮ่า ฮ่า บ้าเอ้ย”

ครับ “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ” ตอน : อกหัก มารักเหล้าแบล็ค เอ้ย!….มาลักเหล้าแบล็ค ก็เป็นเช่นนี้ หากคืนนั้นผมขาดสติอาละวาด-ดุด่าน้องชายที่กำลังอ่อนแอ ผลของเช้าวันนี้จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง น้องอาจจะทนไม่ได้ หนีหายไปที่ไหนสักแห่ง….ผลลัพธ์จะมาตกที่ตัวผมเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือถ้าหนักไปกว่านั้น ผมก็จะโทษตัวเอง จมอยู่กับความผิดพลาด จมอยู่กับจุดๆ นี้ไปทั้งชีวิต

คิดบวก โลกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน…คุณเชื่อไหมตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา น้องชายผมไม่เคยกินเหล้าจนขาดสติให้เห็นเลยสักครั้ง…เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เชื่อฟังผมมากขึ้น รับฟังผมมากขึ้นและที่สำคัญเขาคุยกับผมแทนเสียงกีตาร์ เสียงเม้าออแกนมากขึ้นด้วย….

แต่นี้ก็ใกล้สิ้นเดือนละ…จดหมายทวงหนี้กองอยู่ตรงหน้า “โอ้ย! ทำไมมันเยอะขนาดนี้นะ”…..ค่าใช้โทรศัพท์มือถือ ไหนๆ แกะดูดิ! เดือนนี้เท่าไร….

“หา!….ต้าย ตาย ตาย กูตาย 3567 บาท….แม่งผิดรึเปล่าวะ ปกติไม่ถึงพัน…ไหนขอดูรายการโทรออกดิ ถ้าผิดงานนี้กูเล่นถึงบริษัทแน่ๆ…ฮื้ออออ…มึง….มึง….โอ้ยไอ้บ้าเอ้ย….น้องกู น้องสุดเลิฟทำพี่แล้วไหมละ….แม่งโทรอิท่าไหนของมันวะรวดเดียว 2655 บาท….ปี๊ด!…งานนี้กูปี๊ดขึ้นหัวเลย…..”

ครับก็เป็นซะแบบ…ผมก็แค่คนธรรมดาๆ มีโกรธ –มีโมโห… แต่ผมจะตั้งสติไล่เรียบเรียงให้เข้าที่ก่อนจะเร่งสลายความเครียดให้เร็วที่สุด…..วันนั้นผมโมโหอยู่ไม่ถึงชั่วโมงพออาบน้ำ-แต่งตัว-กินข้าวเสร็จสมองผมก็ไม่เหลือช่องว่างให้เรื่องเก่าเพราะวันนี้ วันพรุ่งนี้ยังมีเรื่องใหม่รออีกเยอะ….

คิดบวกๆ….คนที่อยู่ในอารมณ์อกหัก….คงไม่มีสติพอจะมาคิดถึงค่าใช้จ่าย… ผมมีว่ากล่าวตักเตือนเล็กน้อย…ซึ่ง เดือนต่อมาน้องชายก็เอาเงินมาคืน ผมเลยให้เขายัดเงินใส่ออมสินเก็บไว้เป็นของขวัญให้แม่ตอนสิ้นปีแทน…โคตรเท่เลยผมนะ….บิลที่ 2 ไม่อยากพูด เจ็บคอ!…สวัสดีครับ

อารยา เธอสวยเมื่อยามตรมใจ

อารยาเบเกอรี่

อารยาเบเกอรี่ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ

อารยา เธอสวยเมื่อยามตรมใจ

สวัสดีคะ..เดี้ยนชื่อกระจ่างจิตคะ (คนบ้าอะไรวะชื่อกระจ่างจิต) เดี้ยนสวย ….เดี้ยนเริ่ด….เดี้ยนกำลังจะแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง เขาหล่อมากๆ….และเค้าก็รักเดี้ยนมากๆด้วย ฮิ ฮิ….มายด้าย!…คิดไปเองนะคะ…ตอนที่ยังทำงานอยู่ประเทศไต้หวันด้วยกัน…อ้อ! เดี๋ยวๆ คะ เดี้ยนลืม…ตอนอยู่ไต้หวันเดี้ยน!เปลี่ยนชื่อเป็น อารยา นะคะ คือว่าเปลี่ยนให้เหมาะกับใบหน้าของเดี้ยนนะคะ ฮิ ฮิ ฮิ….อ้าวๆ ต่อกันเลยนะคะ….ขนาดตอนนั้นมีหนุ่มจีนมาจีบเดี้ยน….พาเดี้ยนไปเที่ยวงี่! กินข้าวงี่! หรือจะพาไปพบพ่อแม่ของเขางี่!….ผู้ชายคนที่ว่าเข้ามาขัดขวางทุกครั้ง กระทั้งลากคอเดี้ยนกลับประเทศไทย….เพื่อมาแต่งงานที่กำลังจะมีขึ้น ก็คือเขา…เห็นไหมคะว่ากระจ่างจิต เอ้ย! อารยา เริ่ดสะแมนแตนแค่ไหน….ฮิ ฮิ ไม่อยากจะคุย”

-.แต่มึงคุยไปแล้วนะนั้นนะ เยอะด้วย…. ครับอารยาเป็นลูกสาวของลุงแท้ๆ ของผมเอง ก็มีศักดิ์เป็นน้องสาวอะนะ “คิดบวก ความสุขในมุมเล็ก” ตอน อารยา-เธอสวยเมื่อยามตรมใจ….จะเป็นอย่างไร สนุกแค่ไหน

มา! เดี๋ยว Timmy จะเม้าส์ให้ได้อ่านกัน ทางนี้เลยครับ….

อารยาเบเกอรี่

“ฮิ ฮิ ฮิ หลังจากแต่งงาน เดี้ยนกับสามีก็ย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทยเป็นการถาวรคะ… เราเปิดร้านเบเกอรี่เล็กๆ ชื่อ “อารยาเบเกอรี่” ตามชื่อเดี้ยนที่ไต้หวันนะคะ เพราะชื่อนี้มันเหมาะกับใบหน้าเดี้ยนสุดๆ….ฮิ ฮิ!….เดี้ยนแต่งงานได้ 3 ปี เดี้ยนก็มีลูกชาย 1 คน ลูกสาวอีก 1 คน…สามียังรักเดี้ยนเหมือนเดิมขณะที่เดี้ยนชิมขนมเค้กทุกวัน พุงเดี้ยนก็เริ่มยื่นใหญ่ หน้าเดี้ยนก็แผ่รัศมีกว้างงงง  แขน-ขาไม่ต้องพูดถึงคะทั้งอวบทั้งเยอะไปพร้อมๆ กับอายุเดี้ยนนั้นแหละคะ….กระนั้นเรา 4 คน พ่อแม่ลูกก็ยังรักกันดี…..”

จนกระทั้งอีก 5 ปีต่อมา

“ฮื้อๆ….คุณคะ คุณขา!… เดี้ยนทำอะไรผิด…แค่เดี้ยนอวบขึ้นนิดหน่อย ใบหน้าขยายออกด้านข้าง ปากบิดเบี้ยวเล็กน้อยแค่เนี้ยทำไม้ ทำไมสามีทำกับเดี้ยนได้…ฮื้อๆ เดี้ยนอยากตาย….เดี้ยนอยากผูกคอตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยแต่ลูกๆ ก็ยังเล็ก..เดี้ยน!จะทำอย่างไรดี….จะทำอย่างไรดี ฮื้อๆ….ช่วยเดี้ยนด้วย ช่วยเดี้ยนด้วย ฮื้อๆ…..เดี้ยนอยากตาย! เดี้ยนอยากตาย!”

-อารยา-เธอมีหลักฐานไหม…ไปกล่าวหาสามีตัวเองแบบนั้นนะหือ!

“นี้คะนี้!….ดู ดู้ ดู ฮื้อ หื้อออ….”

เธอยื่นโทรศัพท์มือถือให้พร้อมกับเปิดเฟชบุ๊คและไลน์แชทส่วนตัวของสามีให้เห็น

 #คิดถึงจัง-ทำไรอยู่-คิดถึงอีกแหละ-ตัวเองนอนรึยัง-เค้ากำลังจะปิดร้าน-เจอกันหน่อยดิ-คิดถึงมากมาย-จุ๊บๆ บ้า!คนบ๊อง#

“ฮื้อ….เดี้ยนให้ดูเฉยๆ ไม่ได้ให้อ่าน….เดี้ยนเจ็บปวด เจ็บตรงนี้” เธอใช้นิ้วป้อมๆ ที่อุดมไปด้วยไขมันจิ่มตรงไปที่หัวใจ “เดี้ยนฟังไม่ได้…เดี้ยนรับไม่ได้…. เดี้ยนจะด่ามัน เดี้ยนอยากจะฆ่ามัน….เดี้ย! เดี้ย! เดี้ยนจะประจานมันลงเฟชบุ๊ค ประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้ว่ามีผู้หญิงหน้าด้าน-หน้าหนามาแย้งสามีชาวบ้าน….หน้าไม่อาย….เดี๋ยวมึงเจอกับกูอีกะหรี่….ฮื้อๆ”

-ใจเย็นๆ อารยา เธอต้องตั้งสติ-เธอกำลังขาดสตินะ

“เดี้ยนจะด่ามัน จะประจานความร่านของมันทุกวัน ทุกๆ เวลา นี้แน่!

#แย่งผัวชาวบ้านได้ ไม่ได้แปลว่ามึงสวย

แต่หมายความว่า มึงมีค่า น้อยกว่ากะหรี่#

เอาอีก เดี้ยนจะโพสต์ด่ามันอีก…..

# การแอบนอกใจแฟน…ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ

คนธรรมดาทำไม่ได้ เพราะต้องมีความสารเลว

ในใจถึงจะทำลง#

ยังๆ มันยังไม่สะใจเดี้ยน….ยังไม่จบ

#สิ่งที่หายากกว่าเงิน คือความจริงใจของคน#

-อารยาตั้งสติ มีสติหน่อย….กินข้าวกินน้ำรึยังเนี้ย หลายวันแล้วนะ…น้ำหนักลดไปกี่กิโลฯ แล้วไม่รู้

“เดี่ยนอยากตาย…..เดี้ยนยังไม่สะใจเดี้ยนจะโพสต์ประจานมันอีก ฮื้อๆ…

#หมาเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความซื่อสัตย์

คนที่รักกัน แต่ไม่ซื่อสัตย์…สมควรไปกราบหมา#

อ๊ากๆ อ๊วกกกก…ป่ายเอาเหล้ามา เดี้ยนอยากเมา อยากเมาให้ลืมเขาไปเลย…ฮื้อๆ หื้ออออ ฮื้อๆ….อ๊าก! ไอ้ผัวสารเลว!……”

-แต่ไม่เคยเห็นเธอกินเหล้านะ….อารยา กินข้าวกินน้ำสักหน่อยดีไหม ประเดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งกันพอดี

“ม่ายยยย ไม่…เดี้ยนนนจากินเหล้า กินให้มันเมาๆ กินให้มันลืมเขา กินเหล้าให้ตายไปเลย….ไหนโทรศัพท์เอามานี้ เดี้ยน! ….จะโพสต์ด่าพวกมันอีกหน่อย ฮื้อๆ….เดี้ยนเสียใจ ทำกับเดี้ยนแบบนี้ได้งายยยยย นี้แน่…

#ต้องทำบุญวัดไหน

สัมภเวสีรอบตัว

ถึงจะไปผุดไปเกิด#

….ยัง ยัง ยังม่ายยย สะใจอารยา….เค้กเคิกกูไม่ทำแม่ง!ละ…..คำนี้ๆ กูชอบ….สะใจกูจังเลยโว้ย!…นี้แน่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า…

# ความลับมักจะซ่อนอยู่ในโทรศัพท์

ลองแกล้งไปหยิบจับ

ถ้าโดนกระชากกลับ

นั้นแหละมีเรื่องลับๆ ซ่อนอยู่#

…ฮากกก….ฮื้อ เดี้ยนอยากตาย มันทำกับเดี้ยนแบบนี้เปะ!…..แบบนี้เลย ฮื้อๆ เดี้ยน เดี้ยนอยากตาย ไปเอาเหล้ามา ป่ายอ้าวววเหล้ามา!”

อารยาเธอตรมใจ….เธออยู่ในโลกสีดำนาน นานจนกระทั้งร่างกายที่อวบอ้วนค่อยๆผ่ายผอมลงทีละนิด…จนไม่เหลือเรี้ยวแรง แม้แต่จะร้องไห้…ข้าวปลามีเพียงลูกสาว-ลูกชายที่กำลังเป็นหนุ่มคอยดูแล กระทั้งวันที่ฟ้าเปลี่ยนสี…แดดแรกสีเบจก็ปลุกสติที่หลุดหายเป็นแรมเดือนให้ตื่นขึ้นมา

-ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ซะ…อารยา เธอควรโฟกัสไปที่ลูกๆ ที่คอยดูแลเธอจะดีกว่าไหม?….

อารยาใช้สายตาเศร้าๆ จ้องไปยังลูกสาวตัวน้อยกับลูกชายวัยกำลังเป็นหนุ่ม ขณะทั้งคู่กำลังช่วยกันเช็ดล้างอ้วกที่เธอพึงสำรอกมันทิ้งๆ ขว้างๆ สาดกระจายเหม็นคลุ้งไปทั้งห้อง…. แววตาเศร้าๆค่อยๆเต้นระริก แดดแรกอุ่นๆ สะท้อนจนเกิดเงาสีรุ้งกระจ่างแผ่รัศมี….ให้เห็น

-สติกลับมารึยังอารยา-ดูลูกๆ ของเธอสิ ดูความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่งในหัวใจ…พวกเขาขาดเธอไม่ได้อารยา…พวกเขารอเธอลุกขึ้นสู้เพื่อพวกเขาไม่ใช่คนอื่น…..

“เดี้ยน…เดี้ยน….ขอโทษ….ลูกๆจ๋า…แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ แม่หลงทาง แม่กลับมาแล้ว แม่จะเป็นแม่เพียงคนเดียวเพื่อลูก แม่ต้องเข้มแข็งและแกร่งเพื่อลูก ลูกจ๋า แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ”

-ไปอาบน้ำ แต่งตัวซะอารยา …เวลานี้เธอน่าเวทนาเหลือเกินแล้ว

“คะ ขอบคุณคะ… เดี้ยนจะต้องอาบน้ำ  เดี้ยนจะทำเพื่อลูก  เดี้ยนจะเป็นคนใหม่”

-เป็นคนเดิมของเธอเถอะอารยา  เป็นคนเดิมที่สวยเหมือนเดิม….น้ำหนักเธอลดไปกี่กิโลฯแล้วเนี้ย ดูผอมผิดหูผิดตาเลยนะ

“เดี้ยนเหนื่อยเหลือเกิน พุงเดี้ยนหายไปไหนหมดคะ….แขนเดี้ยน ขาเดี้ยนก็เล็กลง ใบหน้าอูมๆก็เล็กลงไปด้วย เดี้ยน เดี้ยนเป็นบ้า-เสียสตินานแค่ไหนคะ”

-2 เดือน เกือบๆ 3 เดือนอารยา

“เดี้ยนจะไปอาบน้ำ เดี้ยนจะกลับไปเป็นคนๆเดิม….เดี้ยนเคยสวย เดี้ยนเคยเริ่ด… เดียนจะต้องกลับไปเริ่ดให้สามีเดี้ยนเห็น….ให้สามีเดียยยยยย….หื้อ ฮื่อๆ”

-ใจเย็นๆ อารยา มีสติ มีสติ

“กลับไปสวยให้สามีเดี้ยนเสียดาย และเสียใจที่ทำกับเดี้ยน….ต่อจากวันนี้เดี้ยนจะโฟกัสทุกอย่างเพื่อลูก เดี้ยนจะทำเพื่อลูกไม่ใช่เขา….ฮื้อๆ”

-เอาเถอะอารยา….ลูกๆกำลังรอเธออยู่ไปอาบน้ำอาบท่า แต่งตัวให้เริ่ดๆ…แล้วเดินออกไปประกาศก้องต่อโลกาเถอะว่า

“อารยา-เธอสวยเมื่อยามตรมใจ”

“ใช่!…ถ้าเดี้ยนมองด้านบวก การที่สามีทำกับเดี้ยนแบบนี้….ก็มีส่วนที่ดีอยู่ไม่น้อย

1.มันทำให้เดี้ยนสวยขึ้น

2.มันทำให้เดี้ยนได้สติคิด

3.มันทำให้เดี้ยนเข้มแข็งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

4.ต่อจากนี้เป็นต้นไป เดี้ยนควรจะทำเพื่อใครกันแน่

5.ที่สำคัญ ก้าวต่อไปของเดี้ยนจะมั่นคงมากกว่าที่ผ่านมา…แม้จะ…จะ…จะไม่มีเค้าอยู่ด้วยก็ตาม…..

-เธอทำได้อารยา…เธอต้องผ่านมันไปให้ได้….ชีวิตข้างหน้าเป็นของเธอไม่ใช่คนอื่น คนอื่น เป็นได้แค่คนอื่น แต่ตัวเราเป็นของเรา ทำร้ายตัวเองก็คือทำร้ายตัวเรา อีกด้านตัวเราไม่ใช่ของเราเพียงคนเดียว แต่ตัวเรายังเป็นของคนที่รักเราด้วย อย่างเช่นลูกๆ ที่กำลังน่ารักของเธอไงละอารยา

อารยา-เธอสวยเมื่อยามตรมใจ

“ขอบคุณมากคะ ขอบคุณ Timmy ทีเป็นกำลังใจให้เดี้ยนมาโดยตลอด เดี้ยนสัญญาคะว่าต่อจากนี้เดี้ยนจะสวยให้สุด ปัง!ให้ใครบางคนเสียดายเล่นๆ  จะเข้มแข็งให้ตลอด …ทำทุกอย่างเพื่อคนที่รักเดี้ยน โดยเฉพาะลูกๆ”

-ใช่!—ลูกๆ และคนที่รักเธอ อารยา-เธอสวยเมื่อยามตรมใจ สามีเธอก็เห็นมันมาโดยตลอด เขาสำนึกผิด เขารอการให้อภัยจากเธอ อารยา

“เดี้ยน…จะทำทุกอย่างเพื่อลูกๆ คะ Timmy ถ้าลูกๆ เดี้ยน OK เดี้ยนก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเวลานี้ในหัวใจของเดี้ยนมีแต่ลูกๆ ของเดี้ยนเท่านั้น”

-ผอมแล้ว สวยแล้ว กินเค้กให้น้อยลงบ้างนะอารยา

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… Timmy คุณทำให้เดี้ยนหัวเราะ คุณทำให้เดี้ยนมีความสุข ถึงจะเป็นความสุขในมุมเล็กๆ ก็ตาม….ฮ่า ฮ่า ฮ่า….. เดี้ยนก็จะพยายามกินเค้กให้น้อยลงด้วย…. เดี้ยนสัญญาคะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า….”

-คิดบวก อารยา แล้วความสุขจะวิ่งเข้ามาชนคุณเอง…..สู้ๆ นะ

“ขอบคุณคะ เดี้ยน…เห็นความสุขแล้ว…เดี้ยนกำลังจะมีความสุขในแบบของเดี้ยน….ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ”

นี้เหละครับคือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับน้องสาวของผม อารยา เธอสวย เธอเข้มแข็ง เธอแกร่งเมื่อยามตรมใจจริงๆ ถ้าพลิกอีกด้านของนรก-สวรรค์ในมุมเล็กๆ อาจจะรอคุณอยู่…สู้ต่อไปครับทุกๆ ท่าน

Mr. หยวนๆ ครับๆ

หยวนๆครับๆ

หยวนๆครับๆ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ

หยวน หรือ หยวนๆ ความหมายตามพจนานุกรมไทยว่า ยอม, ประนีประนอมนะครับ… และที่หลายคนเข้าใจว่า เป็นการยืมคำมาจากภาษาจีนนั้น……ขอบอกตรงนี้ไว้เลยว่าคุณเข้าใจผิดอย่างแรง….เพราะคำว่า ยอมหรือประนีประนอม… ภาษาจีนจะใช้คำว่า “ฉินใช้”  ฉะนั้นคำว่า  “หยวนหรือหยวนๆ” ไม่มีในความหมายตรงๆ ในภาษาจีนเลย…แต่ว่าเวลาซื้อ-ขายสินค้าที่ลูกค้ามักจะต่อรองราคากับพ่อค้า-แม่ค้าว่า

หยวนๆ น่าอาเฮีย เลามางโคลบ้าเรียวกาน”… คำว่า หยวน เป็นเพียงชื่อสกุลเงินของจีนเท่านั้น…ไม่ได้แปลว่า ประนีประนอมหรืออะลุ้มอล่วยตามความเข้าใจของคนไทยเลย….เปงไงล่า!….หน้าแตกหมอม่ายละเย็กเลยช่ายไหม้…ตุ่งแช่! ตุ่งแช่!…

แล้วเกี่ยวอะไรกับ “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน Mr.หยวนๆ ครับๆ”ไม่ทราบ….เออ!… นั้นนะซิ

มา!….เดี๋ยว Timmy จะขยายความให้ฟังกัน

คุณเชื่อไหมตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผมทำงานอยู่บริษัทรับสร้างบ้านแห่งหนึ่ง ผมก็มักจะได้ยินคำว่า หยวน หรือหยวนๆ หลุดออกมาจากปากทั้งลูกค้าและพนักงานขาย ตลอดจนกรรมการผู้จัดการบริษัทเป็นประจำ  จนหลงเข้าใจว่าคำๆ นี้ต้องเป็นคำพูดที่ใช้ต่อลองราคาสินค้าในภาษาจีนอย่างแน่นอน แต่เมื่อมีประสบการณ์ทั้งไปซื้อของที่เมืองจีนด้วยตัวเอง คลุกคลีกับลูกค้าที่เป็นคนจีนแท้ๆ…พวกเขากับไม่เคยใช้คำๆ นี้เลย แต่ใช้คำว่า “ฉินใช้” แทน สรุปก็ตามบทความข้างต้นนั้นแหละครับ

หยวนๆ คำนี้แหละครับคือจุดพลิกของชีวิตผมเพราะตลอดระยะเวลาที่ทำงานอยู่กับบริษัทรับสร้างบ้านที่ว่า…ผมมักคลุกคลี คุ้นเคยและเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับสถาปนิก-วิศวกรเป็นประจำและพวกเขาเหล่านั้นก็มักจะติดนิสัยคนไทยคือเป็นคนขี้เกรงใจเสมอ…ยกตัวอย่าง

“เฮ้ย!…บุญชัย (วิศวกรโยธา) ค่าคำนวณและเซ็นรับรองแบบหลังนี้ คุณคิดเท่าไรวะ” พี่บุญชัยหรือพี่วัฒที่ผมรู้จักและสนิทสนมก็มักจะพูดประโยคที่คล้ายๆ กันว่า

“แล้วแต่พี่จะพิจารณาให้ครับ” หรือไม่ก็ “พี่คิดว่าเท่าไรเหมาะสมก็ว่ามาเลยครับ”

“อ้าวๆ…สัก 8000 บาทนะ หยวนๆน่า เรามันคนกันเอง”

พี่วิศวกร 2 คนก็มักจะตอบเร็วๆ ว่า “ครับๆ”…ประมาณนี้ แต่สุดท้ายก็มักจะได้ยินเสียงบ่นลับหลังเป็นประจำ

จนหลายเดือนหลายปีผ่านไปพี่ทั้ง 2 ก็ยังเป็น Mr.หยวนๆ ครับๆอย่างสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลง

หากมองมุมบวกทั้งพี่บุญชัยและพี่วัฒก็ถือได้ว่าเป็นคนดี มีมารยาท ขี้เกรงใจ คบง่าย จบง่ายแบบไทยแท้ในระดับที่น่าพอใจ…แต่พอผมทำงาน-ไปมาหาสู่กับพี่ๆ เกิน 10 ปี ความเป็น Mr.หยวนๆ ครับๆ ของพวกเขาก็ส่งผลในมาตรฐานวิชาชีพอย่างใหญ่หลวง จากปีแรกสู่ปีที่ 10 Mr.หยวนๆ ครับๆ ก็ยังเป็น Mr.หยวนๆ ครับๆ คงเส้นคงวา จนเกิดมาตรฐานเรื่องค่าตอบแทนขึ้นมาในแบบเฉพาะ กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ว่างั้น-พี่ทั้ง 2 คงไม่รู้เนื้อรู้ตัว…ด้วยเหตุดังกล่าวการจะขอเพิ่มค่าตอบแทนให้ได้ระดับมาตรฐานภายหลังจึงเป็นเรื่องยาก….เผลอๆ อาจจะเสียเพื่อนเสียงานไปเลยก็ได้

“บ้านพักอาศัย 2 ชั้น สัก 5,000 บาท หยวนๆ น่า หลังเล็กๆ เอง”

“ครับๆ…พี่ว่ามาเลยครับ….จะให้ผมเข้าไปเซ็นเอกสารเมื่อไร ก็แจ้งล่วงหน้าสัก 3-4 วันแล้วกัน” คำๆ นี้ ประโยคๆ นี้จึงติดหนึบในสมองของผมเองจนเกือบจะกลายเป็นสนิม

เมื่อผมลาออกจากบริษัทรับสร้างบ้าน ความไม่ได้มาตรฐานในแบบ  Mr.หยวนๆ ครับๆ  จึงส่งผลต่อมาตรฐานเรื่องค่าตอบแทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“Timmy มีสัก 2,000 ไหม” หรือ “Timmy โอนตังให้พี่ก่อน 4,000 แล้วค่อยหักจากค่าคำนวณโครงสร้างภายหลัง”

OK…. ผมสามารถควบคุมค่าตอบแทนของพวกเขาได้  ผมได้เปรียบ ผมได้กำไร ผมเป็นผู้ควบคุม…ก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี คุณว่าไหม… (ผมคิด)… แต่หากผมต้องการจะทำงานหรือคบกับพี่ๆ เขาในระยะยาว ผมต้องเปลี่ยนแปลงต้องรีบ-เร่งสร้างมาตรฐานใหม่ของทีมงานขึ้นมา… ผมรวย พี่ๆ เขาก็ต้องรวยตามไปด้วย… เราถึงจะอยู่รอดประมาณว่า

“น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า-น้ำดูแลเรือ เสือก็ต้องมีหน้าที่ดูแลป่าไปด้วย” ผมคิดถูกไหม?ละ….

เบื้องต้นผมเองก็ไม่รู้ว่า มาตรฐานค่าตอบแทนวิชาชีพที่สภาวิศวกรรมควบคุม..เท่าไรกันแน่…ผมจึงหาข้อมูลและเมื่อได้ข้อมูลมาถือไว้ในมือ….มาตรฐานของ Mr.หยวนๆ ครับๆ  จึงถูกรื้อทิ้งแล้วเร่งสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมาแทน

ครับ….หลังจากผมลาออกจากบริษัทรับสร้างบ้าน ก็มีผู้ใหญ่หลายบริษัทที่เคยทำงานด้วยกันเรียกเข้าไปคุย…ก่อนเดินเข้าห้องที่ปิดทึบ… ประสบการณ์-บทเรียนจากความเป็น Mr.หยวนๆ ครับๆ ก็เป็นโจทย์ทำให้ผมคิดหนัก

“ถ้ากูตกลงสักแต่ว่าขอให้มีงานทำ…อีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า กูก็เป็นได้แค่ไพ่รองบ่อนให้เขาเล่น มาตรฐานงานกับมาตรฐานค่าตอบแทนต้องเหลื่อมล้ำกัน สุดท้ายชีวิตผมก็จะไม่ต่างจาก Mr.หยวนๆ ครับๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…เอาวะถึงจะเป็นลูกหม้อของบริษัทเก่า หรือจะเสนองานกับบริษัทใหม่ จะใหญ่-เล็ก มหาชนหรือห้างหุ้นส่วน…ผมก็ต้องมีมาตรฐานของผมเอง….ยึดมาตรฐานของทีมที่สร้างขึ้นมาใหม่ให้แน่น ถึงแม้เบื้องต้นหรือระยะแรกงานจะไม่ค่อยดี-ไม่ค่อยมี…ก็ต้องทนผ่านไปให้ได้ เมื่อผู้ใหญ่เห็นความเป็นมืออาชีพ-ยอมรับในความเป็น PROFSSIONAL….วันนั้นผมจะเป็นผู้ควบคุม-กำหนดมาตรฐานได้เอง….เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างทุกเงื่อนไข-ทุกๆ รายละเอียดเข้าที่เข้าทาง…จากมาตรฐานส่วนตัว ก็จะกลายเป็นมาตรฐานของทีมงานจนเป็นที่ยอมรับในที่สุด”

ครับ….ผมกำลังสร้างมาตรฐานตัวเองขึ้นมาใหม่ เสนองานตามมาตรฐานของทีม…ถ้าค่าตอบแทนต่ำเราจะไม่ลังเลที่จะเจรจา-ต่อลองหากไม่จบตามมาตรฐาน ผมก็ไม่ลังเลจะตอบปฏิเสธ… แต่เป็นการปฏิเสธที่ต้องใช้จิตวิทยาเข้ามาช่วย  ผมต้องคิด ทุกคนต้องสร้างคำปฏิเสธในแบบของตัวเองขึ้นมา…ปฏิเสธแต่ไม่ตัดขาด ปฏิเสธแบบแบมือรับหากผู้ใหญ่หรือบริษัทนั้นๆ เห็นความเป็นมืออาชีพของเราในวันหลัง….และเราเองก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นความเป็นมืออาชีพให้เขาเห็นเช่นกัน….ความลับของมืออาชีพง่ายๆ มีดังนี้

1.งานต้องได้มาตรฐาน

2.เวลาต้องเปะ!

3.หากมีการแก้ไขเราต้องมีมาตรฐาน มาตรการและมีไหวพริบในการพิจารณา หากลูกค้าต้องการแก้ไขจุดใดจุดหนึ่ง-เราต้องกล้าแสดงความเป็นมืออาชีพออกมา เสนอทั้งด้านบวกและด้านลบ ที่เหลือเป็นหน้าที่ของลูกค้า…ไม่ใช่เรา

ช่วงแรกๆ ผมบอกเลยว่า ไม่ค่อยมีบริษัทไหนกล้าจ้าง….เพราะตัวเลขที่นำเสนอมักจะสูงกว่าเพื่อนๆ ในวิชาชีพเดียวกันเสมอ….งานน้อยลง…เราก็กินน้อยลง เสื้อผ้าซื้อจากตลาดนัดก็ได้…. เที่ยวแบบเสียตังเสียเวลาก็ผ่อนๆ… หาอาชีพเสริมไปตามเรื่อง… เมื่อมีบริษัทไหนกล้าจ้าง… เราก็ต้องกล้าแสดงความเป็นมืออาชีพแบบไม่มีกัก….งานต้องได้มาตรฐาน เวลาต้องเปะ ไม่เลส…เวลาแก้ไขงานถ้าอยู่ในขอบเขตก็อย่าลังเล….ความเป็นมืออาชีพจะทำให้หลุดพ้นจาก Mr.หยวนๆ ครับๆ ลูกค้ายอมรับ…ห้ามหัวเสีย-ห้ามทะเลาะ เจรจาด้วยเหตุผล กล้าขอโทษ-กล้ายอมรับหากตัวเองผิด…คิดบวกๆ แล้วจะผ่านมันไปได้

ช่วงแรกๆ….วิศวกรหรือพี่บุญชัยแนะนำให้รู้จักนายทุนคนหนึ่ง ชื่อพี่เอ พื้นฐานก็เป็นผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง แต่ขึ้นชื่อว่านายทุนก็เป็นนายทุนวันยังค่ำ

Project แรก :

พี่เอมีที่ดินแปลงหนึ่งแถวๆ จังหวัดสมุทรปราการต้องการจะทำหมู่บ้านจัดสรร บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ขายประมาณนั้น… ผมวาง Master Plan ราคาตกลงกันเบื้องต้นผ่านฉลุย-ได้ตามมาตรฐาน แต่ค่าเซ็นรับรองทีมงานเราขอแยกคุยเป็นหลังๆ เบื้องต้นประมาณนี้  พองานออกแบบ- เขียนแบบจบก็ขึ้นป้ายโปรโมทฯ-ต่อมาวันดีคืนดีก็มีทีมอื่นเข้าไป เสนอโน้น นั่น นี่ หน่ำซ้ำยังเสนอราคาใหม่ตัดหน้าต่ำกว่าทีมงานเรามากๆ ซ้ำร้ายยังเอาแบบเราไปแก้ไขใหม่ จนพี่บุญชัยวิศวกรรับไม่ไหวเลยโดดหนีตามออกมา เราเจ็บช้ำกับโครงการนี้ไม่ถึง 10 ปี ข่าวการทรุดตัวของอาคาร-ทาวน์เฮ้าส์ของโครงการก็โผล่ออกมาให้เห็น เราติดตามข่าวด้วยความเศร้าใจ พร้อมๆ กับถอดบทสรุปเป็นบทเรียนไปพร้อมๆ กัน… ถึงนายทุนจะกอบโกยผลกำไรได้มากมายในเบื้องต้น สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการถูกฟ้องร้องเรียกค้าเสียหายเป็นเรื่องเป็นความกันในศาล…..

Mr.หยวนๆ ครับๆ หากมองมุมบวก พวกเขาเป็นคนคุยง่าย-จบเร็ว แต่หากมองในอีกมุม พวกเขาจะเป็นคนที่น่าสงสารน่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ช่วยไม่ได้หาก Mr.หยวนๆ ครับๆ ยังไม่กล้าลุกขึ้นมานำเสนอ ยังไม่กล้าเป็นผู้ควบคุมนอกจากเป็นผู้ถูกควบคุม

ใครก็ตามที่เป็น Mr.หยวนๆครับๆ ในขณะนี้ จงเชื่อเถอะว่า “คุณยังอยู่ห่างจาก PROFESSIONAL หรือมืออาชีพหลายขุม”

เลิก หยวนๆ ครับๆ เลิกเป็นคนขี้เกรงใจ….เลิกนิสัยไทยๆ…หันมายกระดับ-สร้างมาตรฐานตัวเองให้สูงขึ้น “คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ”… งานที่เรารักก็จะมาพร้อมกับความสุขที่ควรจะได้รับ….โชคดีทุกๆ ท่าน….

ซื้อคนด้วยเงิน 3000 บาท

ซื้อคนด้วยเงิน 3000 บาท บทความ ชุด คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ อ่านเพิ่มเติม ซื้อคนด้วยเงิน 3000 บาท

เปลี่ยนเลนเปลี่ยนชีวิต

เปลี่ยนเลนเปลี่ยนชีวิต เราให้เกียรติคนอื่น เมื่อคนอื่นเห็น สิ่งที่จะได้กลับนั้นก็คือมิตรภาพ อ่านเพิ่มเติม เปลี่ยนเลนเปลี่ยนชีวิต

เพื่อนรัก

เพื่อนรักเพื่อนรัก คืออีกตำนานหนึ่งที่มีคนเล่าขานไม่รู้จบ…หลายคนก็หลายเรื่อง พันคนก็พันตำนาน อ่านเพิ่มเติม เพื่อนรัก

ชกข้ามรุ่น

ชกข้ามรุ่น คืออะไร? แล้วทำไมต้องชกข้ามรุ่น เออ! นั้นนะซิ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนหรอกครับ อ่านเพิ่มเติม ชกข้ามรุ่น