โชคดีที่มีคนแย่ๆ

โชคดีที่มีคนแย่ๆ
โชคดีที่มีคนแย่ๆ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ อ่านเพิ่มเติม โชคดีที่มีคนแย่ๆ

Iyarin หัวใจเธอพิชิตมะเร็ง

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
Iyarin หัวใจเธอพิชิต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ อ่านเพิ่มเติม Iyarin หัวใจเธอพิชิตมะเร็ง

เทคนิค-คิด เพื่อพิชิตหมูอ้วนๆ

คิดเพื่อพิชิตหมูอ้วนคิดเพื่อพิชิตหมูอ้วน คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ อ่านเพิ่มเติม เทคนิค-คิด เพื่อพิชิตหมูอ้วนๆ

ที่ปรึกษาในมุมเงียบ

ที่ปรึกษาในมุมเงียบที่ปรึกษาในมุมเงียบ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ อ่านเพิ่มเติม ที่ปรึกษาในมุมเงียบ

คฤหาสน์-ทะเล-สาป

คฤหาสน์ทะเลสาป

คฤหาสน์ทะเลสาป คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ

คฤหาสน์ทะเลสาป

“วันอาทิตย์ที่จะถึงคุณพรรัตน์เจ้าของธุรกิจส่งออกนัดเข้าไปดูบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้าน คฤหาสน์ทะเลสาบ จังหวัดปทุมธานี พี่วัฒน์วิศกรส่วนตัวจะว่างหรือเปล่าน่า….ลากคอไปด้วยดีกว่า…จะได้ปรึกษาเรื่องโครงสร้างในตัว…ไปต่อหรือจบจะได้สรุปในวันเดียว”

: “ฮัลโหล…สวัสดีครับพี่วัฒน์ ไม่ทราบว่าสะดวกคุยหรือเปล่าพี่”

: #ได้ๆ…Timmy มีอะไร”

: “คือว่า คุณพรรัตน์ลูกค้าเก่าบริษัทเดิมผมอะพี่…ท่านไปเห็นบ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านคฤหาสน์ทะเลสาบ…ปทุมธานี…อยากจะซื้อมา Renovate ขาย-ผมเลยอยากจะชวนพี่เข้าไปดูด้วยกันหน่อย ถ้าไปต่อไหวก็จะนำทีมเข้าไปทำแบบ แต่ถ้าโครงสร้างที่ทิ้งไว้นานไม่น่าไหวจะได้หยุด…ขี้เกียจมานั่งปวดหัวภายหลังอะพี่”

: #เออ…คุณพรรัตน์นี้ก็แปลกคนเนอะ…ชอบหาซื้อแต่บ้านเก่าๆ มา Renovate ขาย…ได้ๆ มารับผมนะ ช่วงนี้รถเข้าอู่#

: “ครับพี่…งั้นประมาณ 8 โมงนิดๆ ผมเข้าไปรับ เพราะนัดคุณพรรัตน์ประมาณ 9 โมงครึ่งกลัวรถติดนะ”

: # OK…ได้เลย#

: “ขอบคุณครับพี่ แล้วเจอกัน”

คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “คฤหาสน์ ทะเล-สาป” ผมไม่ได้เขียนผิดหรอกครับ ผมจงใจจะใช้คำว่า “สาป” จริงๆ เพราะอะไรนั้นรึ ก็เพราะตำนานของบ้านติดทะเลสาบหลังที่ว่ามันน่าสะพรึงกลัว….ผมได้ข้อมูลมาจากคุณพรรัตน์-และคนรอบๆ บ้านหลังนั้นเล่าให้ฟังว่า…..เดี๋ยวๆ…อย่าเพิ่งเล่า

ใครอยากฟังเรื่องราวตื่นเต้นชวนขนลุก-สลับหดหู่ในโชคชะตาของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง ยกมือขึ้น OK. ถ้าพร้อมแล้ว

            มา! ขยับเข้ามาใกล้ๆ…เดี๋ยว Timmy จะเล่าให้ฟัง

เช้าวันอาทิตย์ผมกับพี่วัฒน์ก็มาถึงสถานที่นัดหมายตรงเวลาเปะ!…ซึ่งบ้านคุณพรรัตน์อีกหลังก็อยู่ในโครงการเดียวกัน แต่อยู่คนละมุมของทะเลสาบกว้างสุดสายตาที่เคยเป็นบ่อดินเก่า การมาเลสแค่ 10 นาทีจึงถือว่าท่านยังสามารถรักษาเวลานัดหมายได้ดีทีเดียว (เปล่าประชดนะ) ท่านมาพร้อมกับคนขับรถที่ผมคุ้นเคย

: “สวสัดีครับคุณพรรัตน์” ผมกล่าวทักทายขณะกระจกข้างรถเบนซ์เลื่อนลง

: “..หวัดดีๆ…วัฒน์มาด้วยรึ เออ ดีๆ….ขับรถตามผมมาเลย Timmy บ้านหลังที่ว่า ผมเพิ่งไปโอนเมื่อวานก่อน อยู่ในซอยบ้านโดมโน้น!” ท่านชี้มือนำทาง แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดี จึงรีบผงกหัวตอบรับก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถและขับตามรถของท่านไปติดๆ

“ท่านซื้อแล้วเหรอ….ตายๆ งานนี้ก็เท่ากับมัดมือชกชัดๆ….งานหนักละคราวนี้” ผมพูดกับพี่วัฒน์ขณะอยู่ในรถยนต์ตามลำพัง

“เขาก็นิสัยแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่รึ! ดูอย่างบ้านหลังก่อนดิ….ทรุดแล้วทรุดอีก พี่บอกว่าโครงสร้างเก่าใช้ไม่ได้แล้ว เขายังไปว่าจ้างทีมวิศวกรธรรมศาสตร์มาทดสอบหักหน้าพี่อีก…ผลออกมาก็ต้องทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่อยู่ดี”

“ผมถึงชวนพี่มาไง…เขาเชื่อมือพี่ขึ้นเยอะ”

“ก็ว่ากันไป”

ไม่ถึง 15 นาทีรถเบนช์สีดำก็เลี้ยวเข้าไปจอดในซอยที่เขียนด้วยอักษรไทยโบราณว่า  “ซอยบ้านโดม” ผมจึงเลี้ยวเข้าไปจอดต่อท้ายในระยะมาตรฐาน พอพวกเราลงมายืนบนถนนการกล่าวคำทักทายอย่างเป็นทางการจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง…

“Timmy เราต้องคุยกันก่อนนะ บ้านที่ผมเพิ่งซื้อและไปโอนกันเรียบร้อยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาคือบ้านหลังคาโดมสุดซอยติดทะเลสาบ…ผมซื้อมา 65 ล้านบาทเพราะว่าสงสาร เดิมทีหัวหน้าครอบครัวทำงานเป็นกัปตันสายการบินในยุโรป แม่บ้านเป็นครูมัธยม ลูกสาวคนโตกำลังเรียนมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ประเทศอังกฤษ ส่วนลูกชายออกจะเป็นพวกอาร์ทติส-ศิลปิน-ชอบเป็นดีเจ เปิดเพลงตามผับพอพ่อเสียชีวิต…เขาก็หายสาบสูญ ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน แม่ก็ป่วยจำอะไรไม่ค่อยได้ ทำอะไรไม่ค่อยเป็น พอหัวหน้าครอบครัวเสีย เงินประกันชีวิตหลายสิบล้านก็ไม่สามารถใช้หนี้ได้หมด  บ้านที่อยู่ปัจจุบันกลายเป็นภาระที่ต้องดูแล คนรับใช้ที่มีอยู่ 2 ครอบครัวรวม 6 คนจึงช่วยกันเป็นธุระขายให้ ลูกสาวคนโตก็เพิ่งบินกลับจากอังกฤษเมื่ออาทิตย์ก่อน เห็นได้ข่าวว่าเธอกับแม่จะออกไปเช่าตึกแถวเพื่อนแถวๆ สามเสน…ก็มีคนเขาเตือนผมนะว่าบ้านหลังนี้มีอาถรรพ์ ขณะก่อสร้างคนงานก็ตายหลายคน โดมใหญ่เหนือหลังคาสถาปนิกก็ออกแบบไม่ได้สัดส่วน ไม่ถูกหลัก ขาดๆเกินๆ…แล้วยังเอาหิ้งพระขึ้นไว้ขณะเจ้าของที่ดินเก่ายังเป็นคนอิสลามอีกต่างหาก….”

“อ้าว!….แบบนี้คุณพรรัตน์คิดว่าจะซื้อมา Renovate หรือทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ครับ”

“Renovate ขาย บ้านติดทะเลสาบโดยรอบหลังใหญ่สวยๆ แบบเนี้ย ทุบทิ้งเสียดายแย่ ผมกะว่าจะเปลี่ยนพื้นที่ภายในบางส่วนแล้วทาสีใหม่ก็พอ….เขาขายในราคาถูกมากๆ ทาสีเสร็จจะเชียร์เพื่อนมาดู ผมกะว่า 120-130 ล้านบาทน่าจะขายไม่ยาก”

(โห!…ผมแอบหูผึ่งในใจ….แต่ก็เผลออ้าปากทำตาโตๆ ให้จับพิรุธไปแล้ว) พอผมกับวิศวกรเดินรับข้อมูลทั้งหมดจากคุณพรรัตน์จบ… ก็ถึงเวลาที่พวกผม 2 คนจะต้องออกสำรวจด้วยตัวเองสักที

บ้านหลังนี้เป็นศิลปะนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) ลูกผสมขนาด 3 ชั้นครึ่ง ส่วนครึ่งชั้นเหนือชั้น 3 ก็คือโดมเจ้าปัญหาที่คุณพรรัตน์กะจะทุบทิ้ง-ปรับเป็นที่นั่งชมวิวเก๋ๆ….ผมก็แอบเห็นดีเห็นงามด้วยกับไอเดียนี้… อันที่จริงแล้วหากนับรวมชั้นใต้ดินที่แทบไม่ได้ใช้งาน-บ้านหลังนี้ก็ถือว่า 4 ชั้นครึ่งนะครับ คุณพรรัตน์ให้โจทย์กับทีมงาน-ช่วยหาวิธีเปิดใช้ห้องใต้ดินให้หน่อย จะปรับเป็นห้องอะไรได้บ้าง ซึ่งจากการสำรวจเบื้องต้นปัญหาของห้องใต้ดินที่ติดกับทะเลสาบแห่งนี้ก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน จึงทำให้น้ำและความชื้นซึมขึ้นมา สังเกตจะเห็นตะไคร่น้ำสีเขียวจับอยู่เป็นบริเวณกว้างๆ…ถึงกระนั้นเราก็รับปากว่าจะช่วยคิดให้…ขณะที่เดินสำรวจไปเรื่อยๆ เหล่าคนใช้ ชาย-หญิงภายในบ้านก็กุลีกุจอเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ นานา…มีเพียงมุมเล็กๆ เท่านั้นที่พอจะสังเกตเห็นหญิงวัยกลางคนนั่งปรับทุกข์กับหญิงสาวซึ่งน่าจะเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านที่เพิ่งกลับจากประเทศอังกฤษ คุณพรรัตน์ได้บอกภายหลังว่า เขาให้เวลาคนในบ้านย้ายออกภายใน 2 เดือน….และมีช่วงหนึ่งขณะที่ผมเดินตามหลังคุณพรรัตน์ อยู่ๆ หญิงสาวอายุน่าจะ 20 ต้นๆ ก็เดินเข้ามายกมือไหว้ ผมไม่ได้แอบฟัง แต่หูก็ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ชัดเจน…

“สวัสดีคะคุณลุง”

“หวัดดีหนูแอร์….คุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง”

“คุณแม่เข้มแข็งขึ้นคะ…เพื่อนคุณแม่ที่สามเสนมีตึกแถวหลายห้อง คุณแม่เลยขอเช่าห้องหนึ่ง ก็คิดว่าเราจะย้ายออกได้ภายในเดือนนี้แหละคะคุณลุง”

“อ้าวแล้วน้องชายหนูละติดต่อได้รึยัง”

“ยังเลยคะ….หนูกลัวหากเขากลับมาไม่ทันพวกหนูย้ายออก กลัวเขาจะช็อก เลยอยากฝากให้คนงานของคุณลุงช่วยเป็นธุระให้หน่อย…นี้คะคือเบอร์โทรบ้านเช่าและที่อยู่ใหม่ของคุณแม่”

“ได้…ลุงจะ COPY แจกคนงานเก็บไว้ ไม่ต้องกังวล แล้วเรื่องเรียนของหนูละ”

“เหลืออีกแค่เทอมเดียวก็จบแล้วคะ….หนู หนูกะว่าจะแต่งงานกับเพื่อนชาวอังกฤษแล้วหาทางเอาคุณแม่ไปอยู่ด้วยกันซะที่โน้นเลย”

“เออ..ดี ดีแล้วละ…หนูแอร์เป็นเด็กเข้มแข็งมากๆ เลย…ต่อจากวันนี้หนูต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างสมบูรณ์แล้วนะ อะไรที่หนูคิด หนูต้องตัดสินใจไปเลย อย่ารีๆ รอๆ เด็ดขาด”

“ขอบคุณมากๆ คะคุณลุง…หลังจากขายบ้านหนูคิดว่าจะให้เงินคนงานในบ้านไปตั้งหลักครอบครัวละก้อน ใช้หนี้ให้จบ….ที่เหลืออีกนิดหน่อยก็จะแบ่งไว้ให้น้องชาย ส่วนตัวหนู หนูคิดว่า หนูเอาตัวรอดได้”

“ดีแล้วละ ดีมาก…มีอะไรก็บอกลุงไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณมากคะ….หนูฝากเรื่องน้องชายหนูด้วยนะคะ”

“ได้ๆ….แล้วนี้หนูแอร์จะกลับอังกฤษเมื่อไร”

“ก็กะว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่จนกว่าน้องชายจะกลับมาโน้นแหละคะ เรื่องเรียนกลับไปค่อยว่ากัน…อาจจะด๊อบแล้วค่อยไปเรียนใหม่เทอมหน้า”

“หนูแอร์เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เข้มแข็งมากๆ เลยนะ”

“สถานการณ์บังคับให้แอร์ต้องเข้มแข็งคะคุณลุง…”

“ดีๆ….ลุงเอาใจช่วย….สู้ต่อไป เรื่องน้องชายไม่ต้องกังวลเพราะหลังจากที่หนูกับคุณแม่ย้ายออกลุงจะให้คนงานเข้ามาอยู่ประจำที่นี่ 2 คนทันที…ถ้าน้องชายหนูกลับมาอย่างไรเสียก็ต้องได้คุยกันละ”

“ขอบคุณคุณลุงมากๆ คะ”

ครับถึงบ้าน 4 ชั้นครึ่งที่ห้อมล้อมไปด้วยทะเลสาบหลังนี้ จะเป็นบ้านที่โดนสาปตามคำเล่าลือหรือไม่…ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมต้องการจะสื่อ….แต่ประเด็นหลักของบทความ คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “คฤหาสน์-ทะเล-สาป” บทนี้…ผมต้องการสื่อเพื่อเป็น เคทสตาร์ทดี้ (Case Study) ให้ทุกท่านมีสติในทุกๆ ขณะ… อุบัติเหตุไม่ได้ละเว้นใครหรือครอบครัวคนใดคนหนึ่ง หากเกิดปัจจุบันทันด่วน คุณๆ ท่านๆ จะได้ครองสติแก้ปัญหาได้ถูกจุด อย่างหนูแอร์ชีวิตเธอเป็นคุณหนู พูดภาษาชาวบ้านๆ เธอแทบจะคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำ… เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งเธอต้องมาเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวทั้งๆ ที่อายุยังไม่ถึงวัยเบญจเพส…ผมเห็นแววตาและสีหน้าที่เธอแสดงออกในวันนั้นแล้วอดทึ่งในตัวของเด็กสาวคนนี้ไม่ได้ …ผมแอบมองขณะเธอนั่งแพ็คของลงลังกระดาษ มือเล็กๆ ขาวๆ เรียวๆ ไม่ควรมาดึงกระชากเชือกฟางแข็งๆ ด้วยซ้ำ… สมัยคุณพ่อยังมีชีวิตเธอเคยสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวหม่นๆ กึ่งเก่า กึ่งใหม่แบบที่สวมวันนี้หรือไม่…เหงื่อที่ไหลอาบใบหน้าเธอก็แค่ดึงคอเสื้อขึ้นซับ ใช้หลังมือปาดทิ้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า…เธอจะคิดถึงชุดราตรีพลิ้วๆ เดินรับลมไปรอบๆ ทะเลสาบโดยมีสาวใช้คอยเสริฟน้ำเสริฟนมให้หรือเปล่าน้อ….

ก่อนจะขึ้นรถ ผมมีโอกาสปะ! กับเธอตรงๆ… เธอยิ้มส่งให้ผมบางๆ จนผมอดบอกส่งเธอด้วยประโยคง่ายๆไม่ได้

“คิดบวก แล้วโลกทั้งโลกจะโอบกอดน้องแอร์ด้วยความรัก…เชื่อพี่ Timmy นะครับ”

เธอยิ้มปลื้มๆ จนสังเกตเห็นผิวน้ำรื่นๆ ใสๆ จับผิวกระจกตากำลังสะท้อนเงาตัวผมระยิบระยับ… เธอพยักหน้าแทนคำขอบคุณที่ไม่อาจเอ่ยจากปากในเวลานั้น…ผมพยักหน้าให้เธอเห็นอีกก่อนจะพยายามจดจำภาพเด็กสาวตัวเล็กๆ บางๆ เพื่อมาเป็นบทเรียนชีวิตใช้เตือนสติในยามคับขัน

“ขอบใจน้องแอร์…ขอบคุณสำหรับบทเรียนชีวิตที่ไม่มีวันอ่านจบ…โชคดีครับ”

หลอน ภวังค์ ภาพ

อ่านเรื่อง หลอน ภวังค์ ภาพ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ

หลอน ภวังค์ ภาพ ๑

“วันนี้วันเสาร์ ทำงานครึ่งวัน+ 2 ชั่วโมง โอ้ย!…ชีวิตทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้…ปิดออฟฟิตเปิดแอร์นอนสัก 2 ชั่วโมงค่อยกลับบ้านดีกว่า….เอาแม่งโซฟารับแขกสีเทาๆ นี้แหละวะ….นอนสบายชิบหาย…แต่ทำไมอินทีเรียต้องบังคับให้กูต้องนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกด้วยเนี้ย ทิศของคนตายชัดๆ โอ้ย! ไม่ไหวแล้วปวดหัว…ชั่งเถอะ กูไม่ถือ…..อ้า! นอนกลางวันมันสบายดีจริงๆ เล้ยยยย”หลอน ภวังค์ ภาพ

Timmy มันหลับละ….เปิดแอร์-เปิดไฟดาวไล้ท์สีเหลืองอ่อนๆ ทิ้งไว้ซะด้วย น่าอิจฉาชะมัด…เอาละๆ คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน “หลอนภวังค์-ภาพ ๑” จะเป็นอย่างไรต่อ

มา!….ตามผมมา เงียบๆ เบาๆ เดี๋ยว Timmy ตื่นเดี๋ยวเรื่องจะจบซะเปล่าๆ….. OK OK…ดีครับ เฮ้ย!…ไอ้แว่น มึงนะ เออมึงนั้นแหละ ปิดโทรศัพท์มือถือด้วย-สาวโทรเข้าเดี๋ยวก็จบเห่กันพอดี….เฮ้ยๆ….ได้เรื่องละๆ ไอ้ ไอ้ Timmy กำลังจะฝัน อ้าวๆ…ขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ จะได้รู้ได้เห็นกันครบทุกคน

#ภาพขาวดำมัวๆ…ล่องลอยหมุนวนไปรอบตัว มันคือหมอกหรือควันกันน่า…แล้วนี่ผมอยู่ที่ไหน ผมอยากกลับบ้าน ผมอยากกลับบ้านเหลือเกิน …# และอยู่ๆ กลุ่มหมอกหรือควันบางๆ สีเทาอ่อนก็ค่อยรวมตัวเป็นรูปร่าง… จนคล้ายชายชราหน้ายาวรีใส่ชุดขาวคล้ายพระ แต่วิธีสวมกลับคล้ายชุดยูกาตะสำหรับชายชาวญี่ปุ่น…เขา -เขา –ลอยได้ราวกับฝ่าเท้าไม่แตะพื้น… และอยู่ๆ เขาก็ยิ้มให้ จากสะแยะแค่มุมปากค่อยๆ ชัดเจน…โหนกแก้ม ดวงตาทำไมรู้สึกคุ้นเคยและอบอุ่น…เขาเป็นใครกันนะ

#ผมรู้จักกับคุณไหม….# ผมตัดสินใจถาม ขณะที่ชายชราหน้าเรียวผิวขาวเอาแต่ยืนยิ้ม…เขาเริ่มลอยวนไปรอบตัวผม…หลายรอบ หลายรอบไม่ยอมหยุด #คุณเป็นใครกันแน่….ทำไม ผมถึงรู้สึกว่าเราเคยรู้จักกันมานานแสนนาน….คุณ เป็นอะไรกับผม# ผมพลั้งปากตะโกนเสียงดังขึ้นอีกระดับ แต่ชายชราผมขาวก็ยังคงสถานะเดิม กระทั้งผมเริ่มหงุดหงิด…กิริยาปิดปากก็ค่อยๆ แสดงอย่างอื่นให้เห็น… เขาค่อยๆ ยกฝ่ามือด้านซ้ายขึ้นตรงๆ…แล้วน้ำเสียงทุ้มๆ ก้องลึกก็ดังขึ้น

#กลับบ้านเราเถอะ…กลับพร้อมกับพ่อ…กลับบ้านเราเถอะ…กลับพร้อมกับพ่อ# เสียงทุ้มๆ ก้องลึกเย็นวาบลงไปถึงช่องท้อง….เกิดอะไรขึ้น…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…

#คุณเป็นใคร คุณเป็นพ่อผมเหรอ…แต่หน้าตาพ่อผมไม่เหมือนคุณเลยสักนิด…คุณเป็นใคร คุณเป็นใครกัน…คุณไม่ใช่พ่อผมสักหน่อย#

ชายชราขยายยิ้มกว้างขึ้น….จนเผยให้เห็นฟันแถวบนชัดเจน #ข้าคือพ่อของเจ้า….พ่อที่กำลังรอเจ้าอยู่ที่บ้าน…กลับบ้านเราเถอะ…มากับพ่อ….ลูกชายของข้า#

#คุณไม่ใช่พ่อผม…ผมไม่เชื่อ คุณโกหก คุณกำลังโกหก#

#สงครามทำให้เจ้าลืมทุกๆ สิ่งแล้วจริงๆ….ได้ ถ้าเจ้าไม่เชื่อ พ่อจะแสดงให้เห็น….ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นกับตา…# ชายชราเสียงดังใบหน้าเปลี่ยนเป็นดุร้ายพร้อมกับชี้นิ้วตรงๆ มาที่ผม โอ้ย!…นั้นดวงตาของเขาเริ่มแดงขึ้น แดงขึ้น….แต่ แต่ทำไมมันยิ่งให้ระลึกถึงความสูญเสีย ความเศร้ามากมายแบบนี้….

#จงดูข้า…ลูกพ่อ จงดู ข้าๆ จะแสดงให้เจ้าเห็น ข้าจะแสดงให้เจ้าเชื่อ….#

#ไม่….ม่าย….ไม่….#….

“ไม่ ไม่ ไม่…อย่า อย่า อย่า….โอ้ย!…กูฝันกลางวันรึนี้” เหงื่อกาฬเปียกชุมที่ซอกคอ กระนั้นผมก็ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ “เอะ!…..ทำไม….ขยับแขนไม่ได้ กระดิกนิ้วไม่ได้ …โอ้ย!..กูเป็นอะไรไปเนี้ย!”

#กลับบ้านเถอะลูก….กลับบ้านด้วยกัน#….

“เฮ้ย!….เสียง ดังมาจากไหน  กูฝัน กูฝัน….สงสัยผีอำ…ใช่ๆ นอนกลางวันแม่เคยบอกว่าผีอำ….” ผมกลัวแต่ก็ขยับเขยื้อนไม่ได้ การสวดมนต์ภาวนานั้นรึ ลืมไปได้เลยเพราะสถานการณ์นั้นผมไม่ทันนึกถึงมันด้วยซ้ำ

“นอนนิ่งๆ สักพัก ใช่!….เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง อู้ อู้ อู้” ผมเป่าลมออกทางปากตามจังหวะหายใจขณะที่ดวงตาเหลือบไปยังนาฬิกาสีขาวที่แขวนบนผนังปลายเท้า มันบอกเวลาบ่าย 4 โมงกับ 15 นาที

“นี้กูหลับไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ…ไหนลองกระดิกนิ้วซิ!….ตายห่านิ้วไม่ขยับ….อู้…ผีอำเป็นแบบนี้เองรึ…นอนต่ออีกสักพักน่าจะดีขึ้นเอง” แล้วผมก็วาดดวงตาไล่จากนาฬิกาเลื่อนไปยังแสงไฟสีเหลืองอ่อนๆ จากโคมดาวไล้ท์ที่ฝ้าเพดาน…มุมมองขณะที่ศีรษะหนุนพนักพิงด้านทิศตะวันตกชั่งพอเหมาะพอเจาะดีเหลือเกิน ผมจ้องมัน มองมัน กระทั้งสังเกตเห็นเบ้าโคมดวงนั้นหลุด-หล่นออกมาจากฝ้าเพดานยิบซั่มบอร์ดจนเกิดรูโหว่สีดำเห็นชัด (เดี๋ยวลุกได้จะหากาว 2 หน้าแปะแล้วยัดให้เข้าที่ซะหน่อยและ…ถ้าลูกค้าเห็นอายเขาแย่) ผมคิด ขณะที่ความพยายามจะกระดิกนิ้วก็ยังไม่หยุด

“โอ้ย!…กูเป็นอะไรวะ…กูจะตายไหมเนี้ย” ผมเผลอหลุดเสียงดังที่ได้ยินก้องในความเงียบ…แต่ทันใดนั้นสายตาที่ไม่อยู่สุขก็เลื่อนจากโคมไฟกลับลงไปที่ปลายเท้าช้าๆ  ช้าๆ…และมันก็จบที่ปลายเท้าด้านซ้ายที่พาดอยู่กับพนักพิงด้านทิศตะวันออก มันหมิ่นเหม่จะหล่นไม่หล่นอยู่รอมร่อ

(เออ….ลองกระดิกขาให้หล่นจากพนักพิงก่อนก็แล้วกัน ถ้าขาหล่นถึงพื้นกูตื่นแน่ๆ) ผมคิดขณะเดียวกันก็ออกแรงทั้งหมดส่งพลังงานทั้งมวลไปยังปลายเท้าที่ว่า….อื้อๆๆๆ…..โอ้ย! ….อีกทีหนึ่ง….ผมกลั้นลมหายใจสุดแรงเกิด…. “ต้องทำได้ กูต้องทำได้” ผมพูดเสียงดังจนได้ยินสำเนียงตัวเองชัดเจนในโลกเงียบ…

“อื้อ!….เอาวะใกล้ ละ….ฮึบ!…อ้า….เย้ๆ….กูตื่นแล้วกูทำได้แล้ว…กู กู รอด รอด- ตา…ตา …” ผมลุกขึ้นนั่งแบบคนโล่งอก แต่แอร์ก็ทำให้ผมเย็นวาบขึ้นมาทันทีทันใด…ผม ผม ผม สำรวจตัวเอง….ไม่ ม่าย ไม่นะ….ผมลุกนั่ง ใช่ผมลุกนั่ง แต่…เมื่อมองกลับไปที่เดิม….ปลายเท้า…ปลายเท้าทั้ง 2 ข้างยังพาดอยู่ตำแหน่งเดิม…(แล้วนั้น นั้นมันขาใคร….อะไร มัน มันเกิดอะไรขึ้น….)

#พ่อจะแสดงให้เจ้าเห็น….กลับบ้านเถอะลูกรัก…สงครามจบแล้ว# และเสียงของชายชราในฝันก็ยังคงทุ้มก้องลึกในความวังเวง…..(เกิดอะไรขึ้น…นี้กูถอดร่างได้ด้วยรึ)….ผมลุกยืนพร้อมกับหันมองกลับไปยังโซฟา….ผมเห็นตัวเอง….เห็นร่างตัวเองยังนอนปิดสีเทาของโซฟาตัวนั้นไว้ได้อย่างมิดชิด…

“โอ้!พระเจ้า…ไม่…ใช่ๆ…ตัวกู-นั้นร่างกูกำลังนอนเหลือกตาโพลงอยู่ที่เดิม…เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้…โอ้ย…เกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร กูคือวิญญาณหรืออะไรกันแน่….นั้นๆร่างของกู …กูตายแล้ว…ไม่ ไม่ ไม่ กูจะตายตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด….พระเจ้า…พระพุทธเจ้า…เทวดาฟ้าดินองค์ไหนก็ได้ช่วยลูกด้วย ถึงลูกจะเป็นคนไม่มีศาสนา แต่ลูกก็เคารพทุกๆศาสนาอย่างเท่าเทียม…ลูกไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป ลูกไม่เชื่อชาติหน้า ลูกไม่เชื่อภพหน้ามันก็เรื่องของลูก แต่วันนี้ ตอนนี้หากลูกไม่ได้กระทำสิ่งใดที่เป็นการลบหลู่ก็จงช่วยลูกให้รอด…แต่หากลูกได้ลบหลู่สถานที่แห่งนี้ นั้นก็หมายความว่า ลูกมิได้ตั้งใจ…ลูกจะแก้ไข…ช่วยลูกด้วย”….ผมพร่ำพรรณนาทุกสิ่งอย่างที่นึกออกพร้อมกับล้มตัวลงนอนทับร่างเดิม…การภาวนากินเวลาอีกไม่น้อยกว่า 20 นาที เมื่อปลายจมูกสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ นิ้วมือเริ่มขยับ ขาผมก็เริ่มมีแรง….ผมเป่าลมออกมาทางปากเพื่อทดสอบ

“โอ้ยๆ….กูรอดตายแล้ว….” วินาทีเดียวกันภาพของชายชราในชุดยูกาตะก็ผุดขึ้นมาในหัวอีก “คุณจะเป็นใคร…หรือหากเคยเป็นพ่อลูกเมื่อภพชาติที่แล้ว…เวลานี้ ขอให้ลูกทำความเข้าใจกับมันอีกสักหน่อย…ขอลูกอยู่ต่อที่นี้อีกสักนิด….ถ้าพร้อมลูกจะกลับบ้าน ลูกอยากกลับบ้าน แล้วบ้านที่ว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่” ผมพร่ำต่อแบบคนบ้า ขณะใช้ฝ่ามือขยี้ตาพร้อมๆ ยันตัวเองลุกนั่ง

“ผมสัญญา…ผมสัญญา…”

ครับนี้ก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม…ภาพชายชราสวมชุดยูกาตะสีขาวจากในฝันได้ตอกตรึงอยู่ในหัวจนไม่มีวันลบล้าง…ผมคิดถึงเรื่องนี้…ทบทวนเรื่องนี้เป็นแรมปี ผมพยายามใช้พลังด้านบวกเข้ามาเสริม และส่งต่อความฝันหรือผีอำสู่บทนิยายที่กำลังโพสต์อยู่ในขณะนี้…. ใช่ครับนิยายเรื่องนั้นคือ  “อูคาชิ เซดะ” เป็นนิยายที่ผมพล็อตขึ้นมาจากความฝัน  และถ้าวันนั้นผมเอาแต่หวาดกลัว คิดถึงเพียงพลังด้านลบ คงหนีไม่พ้นการไปทำบุญสังฆทานสะเดาะเคราะห์- แก้เวร- แก้กรรมไปตามเรื่อง…ที่สำคัญอาจจะไม่มีนิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นมาบนโลก…..OK….ผมเฉลยก็ได้ ชื่อที่ชายชราในชุดยูกาตะสีขาวเรียก…ท่านเรียกผมว่า “ชิเดะ” อันที่จริงนิยายเรื่องนี้น่าจะมีชื่อว่า “อูคาชิ ซิเดะ” มากกว่า แต่ผมทดลองออกเสียงหลายรอบ ผมว่ามันห้วนๆ สำหรับคนไทยไปนิดหนึ่ง-แบบฟังแล้วไม่สบายหูว่างั้น  เลยตัดสินใช้คำว่า  เซดะ แทน

คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ของผม…จากฝันร้ายหรือผีอำได้สร้างนิยายเรื่องหนึ่งขึ้นมา ผมเชื่อเหลือเกินว่า หากคุณ คุณขุดพลังด้านบวกมาใช้งาน-หลายคนอาจจะมีผลงานที่มากกว่านิยายก็ได้….ลองเดินให้ห่างจากด้านลบ-คิดอย่างมีสติ-ไตร่ตรองและใคร่ครวญด้วยเหตุผล… ผมเชื่อเหลือเกินว่ามีหลายสิ่งกำลังรอคุณสร้างมันขึ้นมาอย่างแน่นอน….คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ก็เกิดเชื่อ Timmy นะครับ

ปล….เกือบลืม…เช้าวันจันทร์ต่อมา….ผมได้เอากาว 2 หน้าไปแปะฐานด้านในของโคมไฟดาวไล้ท์ แล้วยัดมันคืนเข้าเบ้าเดิมด้วยนะครับ…และสิ่งนี้เองที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าบ่ายวันเสาร์ มันคือเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน….เอ้!…หรือจะแค่ หลอน ภวังค์ ภาพ กันแน่…แล้วคุณละ…ว่าไง?