เปลี่ยนเลนเปลี่ยนชีวิต

เปลี่ยนเลนเปลี่ยนชีวิต

เปลี่ยนเลนเปลี่ยนชีวิต เราให้เกียรติคนอื่น เมื่อคนอื่นเห็น สิ่งที่จะได้กลับนั้นก็คือมิตรภาพ

เปลี่ยนเลนเปลี่ยนชีวิต

“เชี้ย! กำลังขับรถหรือกำลังขี่ควายวะ…สาสสสสสส!”

“รีบไปตายรึไง เพ่!”

“แม่…มึงตายไงวะ….ถึงได้รีบ แบบเนี้ย!”

“ปาดหน้า ปาดหลังยังกับกูเป็นขนมเค้ก…ไอ้กระบือเอ้ย!” ครับประโยคที่หลุดจากหลังพวงมาลัยเหล่านี้ ท่านคุ้นๆ ไหม…ผมนะตัวดีเลยละ…

“มา!….ขยับเข้ามาใกล้ๆ ประเดี๋ยว Timmy จะแชร์ประสบการณ์ให้อ่าน”

สมัยที่ผมยังอาศัยรถคนอื่น…เป็นสมัยที่ผมทำได้เพียงนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อข้างๆ โซเฟอร์หรือคนขับรถ ผมก็มักจะได้ยินประโยคคล้ายกับที่ยกมาเป็นประจำ  พูดง่ายๆ…ได้ยินจนชินหูเชียวละ

….สาสส! แม่ง! ควาย! เหี้ย! หมา! มาครบ….

บอกตามตรงๆนะ…โคตรรำคาญ…บางครั้งมีแอบด่า “ถ่อยสถุล” อยู่ในใจ…กระนั้นก็ยังประสานเสียงมีส่วนร่วมไปตามเรื่อง… ประมาณจะเอาใจพี่โซเฟอร์นะ….แต่เชื่อไหมถึงเวลาที่มีรถเป็นของตัวเอง ได้เป็นโซเฟอร์สมความอยาก

“…กูแม่ง!ถ่อยสถุลกว่า ไอ้ หรือ อี ที่ว่ามาหลายเท่า….”

“ไปขี่ควายที่บ้านดีกว่าไหมเพ่!” อะไรประมาณเนี้ย

ตอน “เปลี่ยนเลน-เปลี่ยนชีวิต” จะมาแชร์ประสบการณ์เชี้ย!ๆ รวมถึงจุดเปลี่ยนและมุมมองใหม่ๆ ในการขับขี่รถยนต์ให้ได้อ่านกัน  ถ้าพร้อมแล้วก็ตามผมมาเลยครับ

“อีดอก!…ประเดี๋ยวแม่ก็โครม!เข้าให้!” เสียงแจ๋นๆ แหลมๆ ของพี่พัชราแสบแก้วหูใช้ได้ที่เดียว She คือสาวสวยลูก 2 ผมสีทองหยิกหยองไม่ค่อยจะเข้าทรง แต่ดูดีขึ้นมาเพราะความมั่นใจล้วนๆ  She ทำงานที่เดียวกับผม หลายครั้งต้องอาศัยรถ She ออกไปทำธุระข้างนอก หรือกลับบ้านในตอนเย็นและทุกครั้งที่นั่งข้างๆ ก็มักจะได้ยินประโยคเด็ดๆ หลุดออกมาจากปาก She เป็นประจำ

“พ่อมึงตายรึไง เหี้ยเอ้ย!….ใบขับขี่แม่ซื้อให้เท่าไรจ๊ะ!!!!!”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…ไม่กลัวเขาได้ยินรึเจ้” ผมถาม

“บ้าเหรอ จะไปได้ยินอะไรละ รถเรา รถเขา คนละคันมัน 2-3 ชั้นเชี่ยวนะโว้ย!” แกยังดื้อตาใสเถียงฉอดๆ

“เขาอาจจะอ่านปากเจ้นะ”

“จะอ่านปากฉัน มาจูบฉันแทนดีกว่าไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เออ! แกก็ว่าไปโน้น… เวลานั้นเราก็สุภาพไปตามเรื่อง แต่พอ กูมีรถเองบ้าง….

“เชี้ย!….ถนนคอนกรีตนะโว้ย! ไม่ใช่รองเท้าคอนเวิร์สออลสตาร์จะได้ทางใครทางมันสาสส!” หรือ “ควายหลบไปโว้ย!….ไอ้เย็ดเป็ด” หรือถ้ามากกว่านั้น “ตายเมื่อไรไม่ต้องมาบอกนะเพ่…น้องม่ายว่าง!

ผมว่าพี่พัชราแรงแล้ว…แต่ เวลานี้…. “กูแซงทางโค้งไปเรียบร้อยแล้วครับ….ไอ้เหี้ย!”

วันหนึ่งเพื่อนรักพึ่งบินกลับมาจากประเทศเยอรมัน เราก็นัดกันจะไปหาที่ทานข้าวเที่ยง คุยกันยาวๆ ที่ไหนสักแห่ง …มันบอกบ้านมันอยู่ถนน “บางแวก ซอย 79”

ไอ้เราคนลาดพร้าวก็… “หึ!…บางแวกอยู่แถวไหนวะ!” ก็ชำนาญเส้นทาง-รู้เส้นทางเฉพาะรอบๆ บ้านคุณเข้าใจไหม “ถนนบางแวก อยู่จังหวัดไรวะ” เราก็นึกว่ามันไปแอบซื้อบ้านอยู่ต่างจังหวัดรอบๆ กรุงเทพฯ เพราะชื่อถนน โคตรบ้านนอกเข้าใจไหม…พอมันบอกว่าอยู่ฝั่งธนบุรี เราก็รีบไปเสิร์ชหาข้อมูลในกูเกิล

“อ้อ!….แยกจากถนนราชพฤกษ์” ผมถึงบางอ้อก็จริงแต่ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยขับรถข้ามไปฝั่งธนบุรีสักที อยู่กรุงเทพก็โดนเติบ*

(*โดนเติบเป็นภาษาอีสานหมายถึง นานพอสมควร) เส้นทางที่ไม่เคยไปเราก็ไม่รู้อะนะ

“จะให้ฉันนั่งแท็กซี่ไปเจอก็ได้นะตัว…บ้านเค้าอยู่ไกลนะเกรงใจ”

แต่ด้วยความที่เราอยากโชว์สปิริต-อยากโชว์รถคันใหม่เลยอาสาจะไปรับเอง….(โคตรพระเอกเลยกู)

 “ไม่เป็นไรตัวเอง เค้าออกนนทบุรีขึ้นสะพานพระราม 5 แป๊บ! เดียวถึง ไม่ไกลหรอก” ผมวาดเส้นทางขึ้นในหัวที่ได้มาจากกูเกิลสาธยายให้เพื่อนใจชื้น….มันก็ดี้ดี!-ไม่อึ! ไม่อะ!…สักคำและแล้ววันที่เป็นจุด เปลี่ยนเลนเปลี่ยนชีวิต ก็มาถึง

วันนั้นเป็นเช้าวันพุธ ผมเผื่อเวลาเดินทางไว้ 2 ชั่วโมงนิดๆ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็วนรถออกถนนเกษตร-นวมินทร์-ผ่านถนนงามวงศ์วาน เลี้ยวซ้ายข้ามสะพานพระราม 5 ตรงไปถนนราชพฤกษ์ กะว่าจะมุ่งหน้าไปถนนบางแวกอย่างที่วาดภาพไว้ในหัว  แต่ความที่ไม่ชำนาญทางเลยสร้างความกังวลขึ้นในใจ สับสนพอๆ กับป้ายจราจร…และขณะที่รถยนต์กำลังจะรอดใต้ทางคู่ขนานลอยฟ้า-บรมราชชนนี ป้ายบอกทางเปลี่ยนเลนก็ทำให้สับสนหนักขึ้นไปอีก

“เชี้ย!เอ้ย จะไปทางไหนวะเนี้ย…ควายแล้วกู!” ปากก็พร่ำ ตาก็สอดส่ายหาป้ายบอกทางไปทั่ว “บางแวก ถนนบางแวก…บางแวกเอ๋ย เจ้าอยู่หนใด” ยิ่งใกล้ ใจก็ยิ่งระส่ำ “แม่ง!…ไปทางนครปฐม หรือจะออกปิ่นเกล้าแล้วกลับรถวะ…เออ…ไอ้สัตว์หมา ป้ายบอกก็ไม่มี”

จังหวะเดียวกันที่กระจกหลังก็ปรากฏรถสปอร์ตสีขาวค่อนไปทางเก่าแต่ก็ยังดูดีใช้ได้…กำลังวิ่งปาดหน้า-ปาดหลัง ซ้ายที-ขวาที แซะคันโน้น ปาดคันนี้ใกล้เข้ามาแบบไม่กลัวมัจจุราช ปากเราก็พล่อยผสมกับความสับสนนานา- เลยแหกปากระบายอารมณ์เข้าให้

“ควายเอ้ย!….พ่อมึงใหญ่มาจากไหนวะ ปาดหน้า ปาดหลังอยู่ได้ ไอ้เหี้ย!” และเป็นจังหวะเดียวกับที่รถสปอร์ตเจ้าปัญหาปาดแซงขึ้นมาวิ่งขนานเทียบอยู่ข้างๆ

“ไม่เคยตาย-อยากตายรึไงวะ เชี้ยนี่!” ผมแวบหางตาไปทางมันนิดๆ โซเฟอร์เป็นเด็กหนุ่มร่างท้วม สูงราว 170-175 ซม. ผิวดำแดง วัยไม่น่าเกิน 23 หรือ 24 ปี มีสาวสวยนั่งเป็นตุ๊กตากำลังทาลิปสติกแบบไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆ ไอ้เราก็กำลังหัวเสีย เลยเผลอหลุดคำที่มิบังควร…ออกมาอีก

“ปาดหาพ่อมึงรึไง…กูนะไม่ใช่เค้กนะโว้ย!”  เสียงนะถูกป้องกันอยู่ 2 หรือ3 ชั้นก็จริงแต่ผมคิดว่ามันคงอ่านปากผมออก เพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่มันจงใจปาดแซะ-เบรกล้อเบิ้นเสียงดังคำราม พ่นควันสีขาวใส่…..

“ใหญ่มาจากไหนวะ…ไอ้เย็ดครก”

มันหยุดรถสปอร์ตขวางรถผมเอาไว้ดื้อๆ….

(…นรกเริ่มต้น…งานเข้าแล้วกู) ผมเริ่มรู้ตัว แต่ก็ยังนิ่ง รถที่ตามหลังจอดเรียงกันเป็นแถวยาวด้วยอาการสงบ แต่ผมกลับใจคอไม่ดี กลืนน้ำลายลำบากก็ตอนที่ประตูรถสปอร์ตคันนั้นเปิดออก

(ตายกูตายแน่!) เหงื่อกาฬผุดปู๊ด!ปี๊ด! ใบหน้าคนเก่งซีดเป็นสีขาว มือที่จับพวงมาลัยรถสั่นชุ่มไปด้วยเหงื่อราวกับไข้มาเลเซีย! เอ้ย! ไข้มาลาเรีย …ขณะที่ไอ้เด็กเปรตก็ถือชะแลงตัวใหญ่ย่างสามขุมเข้ามาหา ใบหน้ามันนี้ท่านผู้อ่านเอ้ย! Timmy ไม่อยากบรรยาย บอกตรงๆ กูแทบฉี่ราด

“@#$%*&()_GFDS:LKd<>25glLL5@####*5478GW” มันตะโกนด่าพร้อมยกชะแลงชี้ตรงๆ มายังนู๋…นู๋ไม่ได้ยิน…แต่ภาษากายของมันทำให้นู๋ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้…. (ยางตายนู๋ออกเลยแหละ)….คำเก่งๆ กล้าๆ  แรงๆ ไอ้เย็ดแม่ เย็ดพ่อของนู๋หายเกลี้ยง….(ตายๆ นู๋ตาย) นู๋นั่งสั่นพลางผงกหัวขอโทษแบบผู้ดีสุดชีวิต….ปากก็แบะยิ้มผงกหัวรอบแล้วรอบเล่า มันก็ยังยืนโชว์ขู่ฟ่อๆ จะทุบรถ จะทุบรถอยู่นั้นแหละ…นู๋ทำได้เพียงยิ้มจืดๆ ผงกหัวขอโทษเป็นครั้งที่ 100 101 และ 102 แบบคนกลัวตายนะคุณเข้าใจนะ

#ความเก่งกาจ ปากร้ายเมื่อครู่ไม่เหลือเลยรึเนี้ย#….ผมคิด คิด คิด “ไอ้เด็กเปรตนั้นก็ขู่กูจั้ง! ขู่ไม่หยุด กูจะฉี่ราดแล้วเนี้ย…มึงเข้าใจไหม ไอ้……..รูปหล่อ”

ชะแลงในมือค่อยๆ ลดลง พร้อมกับชี้ตรงมายังผมอีก…..ผมผงกหัวให้มันเห็นแรงๆ พร้อมกับกล่าวคำขอโทษกะให้ปากประมาณนักร้องลิปซิ้งกว้างๆ (ตัวเองอ่านปากเก่งนัก หวังว่าจะเข้าในนะ….พ่อรูปหล่อ) มันขู่อีกสักครู่ก่อนจะล่าถอยเดินกลับไปยังรถ ขณะที่ผมหายใจได้โล่งขึ้น

Oh!  My God” ความกระแดะพุ่งสูงลิบลิ่ว เมื่อรถสปอร์ตคู่กรณีเบิ้นเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยายหายไปทางปิ่นเกล้า ไอ้เราพอตั้งสติได้ก็นำรถเข้าไปจอดเทียบข้างทาง…..พร้อมกับหยิบโทรศัพท์โทรหาที่ปรึกษาทันที

เจ้พัชรา : (วันนี้ไปไหนจ้า!….ไม่เข้าออฟฟิศรึ)

Timmy : “เจ้…คือ ว่า คือ….เอ่อ….”

เจ้พัชรา : (มีไรเหรอ!…..พรุ่งนี้นัดลูกค้า 10 โมงเช้าที่ศรีนครินทร์นะยะ)

ผมหายใจได้โล่งขึ้น หัวใจเต้นช้าลง…ช้าลง แอร์รถยนต์ยังปกติ แต่ผมกลับหนาวเหน็บออกจากข้างใน…ขณะที่เหงื่อก็พรั่งพรู (ยางตาย) :.“อู้!….”

เจ้พัชรา : (เป็นไรรึเปล่า Timmy เป็นอะไรไหม…มีอะไร… เกิดอะไรขึ้น) เจ้พัชราเริ่มจับสัญญาณบางอย่างได้ ขณะที่ผมเริ่มผ่อนคลาย-เป่าลมออกมาทางปากเบาๆ ยาวๆ….

Timmy : ขวัญเอ้ย ขวัญมา…. “ไม่มีอะไรบังเอิญวันนี้นัดเพื่อนแถวบางแวก กะจะไปทางข้าวเที่ยงกันนะ แต่ดันลืมว่าพรุ่งนี้มีนัดกี่โมง…อู้!” ผมเป่าลมออกมาอีก “พรุ่งนี้ 10 โมงนะ….ขอบคุณมากๆ”

เจ้พัชรา : (แค่นี้เหรอ….มีไรมากกว่านี้ไหมเนี้ย เหมือนเธอไม่ปกติ)

Timmy : “ครับ….ไม่มีอะไร” เมื่อสติมาครบ โลกอีกด้านก็บังเกิดขึ้น “ขับรถนะ…อย่าไปด่าชาวบ้านไปทั่วนะเจ้…เป็นห่วง เจอกันพรุ่งนี้ บาย” เรียบร้อยผมก็วางสายพร้อมกับนิ่งเรียกสติอีกสักหน่อย  เวลานั้นยังหน้าซีดอยู่หรือเปล่าน่า!….แต่คงดีขึ้นพร้อมจะไปเจอหน้าเพื่อนรักแล้วละ….

จุดเปลี่ยน

นี้แหละครับคือประสบการณ์ที่เป็น  “จุดเปลี่ยน”  มันทำให้ผมเปลี่ยนทัศนคติในการเป็นโซเฟอร์ไปตลอดกาล มันเป็นตลอดกาลที่ผมขับรถยนต์ได้มั่นใจมากขึ้น มีสติมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น เมื่อมีรถยนต์คันใดต้องการจะแซง…เราก็แค่เปิดไฟเลี้ยวเปลี่ยนเลน-เปิดทางให้ และขณะรถยนต์ 2 คันขนาบข้างๆ กัน ผมก็จะยิ้มและผงกศีรษะแสดงภาษากายของสุภาพชนให้เห็น…และจากที่สังเกตผมก็จะเห็นรอยยิ้มและภาษากายแทนคำขอบคุณกลับมาในลักษณะเดียวกัน

คนขับรถบนถนนมาจากร้อยพ่อพันแม่ ต่างคนต่างที่มา ต่างภูมิหลัง ต่างทัศนคติ ต่างความคิด แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้และเข้าใจตรงกันนั้นก็คือ รอยยิ้ม และภาษากายของสุภาพชนที่สื่อถึงมิตรภาพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ถือได้ว่าเป็นด้านบวกที่ควรจะต้องเร่งให้เกิดขึ้น โดยเริ่มต้นจากตัวเองเป็นหลัก  เราให้เกียรติคนอื่น เมื่อคนอื่นเห็นภาษากายด้านบวกที่เราแสดงออกมา สิ่งที่จะได้กลับนั้นก็คือมิตรภาพ เป็นมิตรภาพระหว่างการเดินทาง ความปลอดภัยก็จะมีเพิ่มมากขึ้น

อีกด้านหากทุกคนสื่อภาษากายในด้านลบให้กันและกัน… ใช้คำด่า วาจาหมาๆ ควายๆ เหี้ยๆ สัตว์ๆ ความเสี่ยง ความไม่ปลอดภัยก็จะเพิ่มสูงขึ้น….หากเกิดอุบัติเหตุเพราะอารมณ์ชั่ววูบ!….หากเสียชีวิตด้วยคำพูดไม่กี่คำ….หรือหากพิการเพียงคำสบถถ่อยต่ำสถุล พรุ่งนี้ที่ดีกว่าก็จะสิ้นสุดลง

 คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ….เปลี่ยนเลน-เปลี่ยนชีวิต คำๆ นี้ผม Timmy Buto ขอยืนยันว่า…มันทำให้ชีวิตหลังพวงมาลัยของผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น….ผมมีความสุขมากขึ้น ยิ้มได้แม้ขณะรถกำลังติดหนึบ เบี่ยงทางเปิดเลนให้รถยนต์คันที่มีธุระเร่งด่วน  มองชีวิตของเพื่อนร่วมทางเสมือนชีวิตของตัวเอง มีปัญหาก็ว่ากันเป็นจุดๆ ใช้สติชี้นำ-อย่าใช้อารมณ์เพียงอยากชนะ เพราะชัยชนะเหี้ยๆ ชัยชนะห่าๆ ชัยชนะควายๆ อาจจะนำมาซึ่งหายนะทั้งตัวเองและครอบครัวก็เป็นไปได้#

“ครับพี่ใจเย็นๆ….เดี๋ยว Timmy เปลี่ยนเลนให้….เดินทางปลอดภัยนะ…สวัสดีครับ”

Visited 4 times, 1 visit(s) today

เผยแพร่โดย

Avatar photo

TIMMY BUTO

นักเขียน เรื่องจริงอิงนิยาย และเรื่องราวทั่วไป