นินจาเลือดซามูไร บทที่ 14

นินจาเลือดซามูไร บทที่14

นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง นินจาเลือดซามูไร บทที่14 คุณชายเลือดผสม หากจะเปรียบเวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันคงจะเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด

นินจาเลือดซามูไร บทที่14

คุณชายเลือดผสม

หากจะเปรียบเวลากับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันคงจะเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ถ้าเป็นถนน ก็คงเป็นถนนที่ทอดยาวเป็นทางโค้งหายลับเข้าไปในม่านหมอก ไม่มีใครเห็นหนทางข้างหน้า ผ่านหลายๆ ฤดูสุดท้ายก็จะวนมาบรรจบที่เดิม โดยที่เราไม่รู้เลยว่าจุดไหนเป็นจุดเริ่มต้นและปลายทาง

หากเวลาเป็นดั่งถนนเช่นนั้นแล้ว ชีวิตของคนแต่ละคนก็คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากรถนานาชนิด ทั้งจักยาน มอเตอร์ไซด์ สามล้อ 4 ล้อ รถยนต์ กระบะ บรรทุก ฯลฯ บางคันที่มีพร้อมทั้งอำนาจและบารมี รถแห่งชีวิตของพวกเขาก็มีทั้งรถตำรวจรถของเหล่าอารักขาคอยวิ่งประคับประคองไปตลอดเส้นทาง หรือบางคันก็ถูกพ่วงติดกับรถคันใหญ่ตลอดเวลา กว่าจะรู้ว่าเครื่องยนต์บกพร่องหรือไม่มีทักษะการบังคับ มันก็อาจจะสายเกินไป  และอีกหลายคันที่สามารถโลดแล่นได้ด้วยตัวเอง แต่กลับไม่รู้จักทะนุถนอม เหยียบคันเร่งเป็นอย่างเดียว เหมือนกับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเบรกมีไว้ทำไม มันก็อาจจะแหกโค้งใดโค้งหนึ่งและหนึ่งชีวิตหรือรถหนึ่งคันก็ต้องจบลงก่อนน้ำมันจะหมดถัง…แล้วรถชีวิตของคุณละเป็นแบบไหนกันบ้าง

……….

ต้นฤดูใบไม้ผลิ ย้อนเวลากลับไปยังหุบเขาอิงะ

ชีวิตหนึ่งชีวิต…ที่ผ่านไปบนถนนสายที่ชื่อกาลเวลา หลายรอบหลายฤดูกาลทำให้หลายๆ คนแกร่งขึ้นและหลายคนกลับรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบจะหมดแรง อาจจะเป็นเพราะแต่ละรอบแต่ละฤดูมีสิ่งท้าทายใหม่ๆ วนเข้ามาทดสอบอยู่เสมอ หากแกร่งพอ ก็จะผ่านมันไปได้ แต่ถ้าหมดแรงเมื่อใดหนึ่งชีวิตของรถ 1 คันก็ต้องหยุดวิ่ง เช่นเดียวกับต้นเมเปิ้ล ต้นเบิร์ช สนมซึ และต้นเชอรี่ป่าที่เริ่มผลิยอดผลิดอกออกผลใหม่ๆ ตอนต้นฤดู หลังจากความแกร่งของพวกมันได้นำชีวิตผ่านพ้นความเหน็บหนาวในฤดูหิมะมาได้ ดูเหมือนจะมีเพียงบาดแผลที่เคยโดนถาก โดนบาก โดนฟันเท่านั้น ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งเวลาที่คอยย้ำเตือนไม่ให้ลืมง่ายๆ… เช่นเดียวกับ อูคาชิ  ยาสุ ประมุขของนินจาแห่งหุบเขาอิงะ เขาไม่เคยลืมดวงตาที่แสนพิเศษของคนบางคน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนกลางฤดูหนาวปีที่แล้วยังฝังลึก จนยากจะลืมเลือน การสร้างความเกลียดชังเพื่อจะให้ลืม วันนี้…มันกลับทำให้เขารู้สึกผิดจนยากจะให้อภัย

“เซดะ…ปานนี้เจ้าจะเป็นอย่างไรบ้างนะ” เสียงพึมพำกลางป่าฮานะ…ขณะที่ดอกเซอรี่กำลังผลิดอกแรกบานสะพรั่งไปทั้งหุบเขา “อูคาชิ เซดะ” คนหนึ่งจากไป แต่ก็ยังมีเด็กน้อยอันเป็นบุตรชายที่เกิดจากเขาขึ้นมาแทนที่ “ดวงดาวแห่งนักฆ่า” เมื่อ 16 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร คืนที่ทารกถือกำเนิดก็เด่นสว่างไม่แพ้กัน

……….

ฤดูใบไม้ร่วงปี 1939

วัย 5 ขวบของ คุณชายน้อย… อูคาชิ  เซดะความเหมือนที่ต่างเวลา ยิ่งตอกย้ำให้เรื่องราวความเศร้าในอดีตของหลายคนในหุบเขาอิงะผุดขึ้นมาหลอกหลอน นับวันพรสวรรค์พิเศษที่มีอยู่ในตัวจะฉายแววเช่นเดียวกับพ่อชัดเจนมากขึ้น มันยิ่งทำให้ อูคาชิ ยาสุ เทียวคิดถึงดวงตาที่แสนพิเศษที่จากไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วเป็นร้อยเท่าพันทวี  เพราะฉะนั้นทางออกเดียวสำหรับเรื่องนี้เขาจึงเลือกที่จะแอบมองเหลนตัวเองอยู่ห่างๆ…แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร

ส่านยามุดะ นางก็ใช้สิทธิอ้างความเป็นย่าเอาคุณชายน้อยมาเลี้ยงเอง  ซึ่งโอตาบิ ซามิโอะก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรในเรื่องนี้ เพราะหน้าที่ของนางได้สิ้นสุดลงตั้งแต่คลอดเซดะออกมาแล้ว เวลานี้นางเองก็ได้แต่งงานกับยูกาว่า ชิการุ และมีบุตรวัย 2 ขวบกำลังอุ้มท้องอีกคนให้กับเขา นางจึงไม่ค่อยสนใจพอๆ กับความเกลียดชังที่ยูกาว่า ชิการุมีให้ หนึ่งชีวิตที่เกิดมาเพื่อทดแทนกับอีกหนึ่งชีวิตที่หายไปของคุณชายแห่งหุบเขาอิงะ ซามิโอะอาจจะถูกมองว่าเป็นแม่ที่ใจดำแต่ก็ว่านางไม่ได้ เพราะทั้งหมดอยู่ที่สามี ที่ใช้อำนาจควบคุมนางเอาไว้ตลอดเวลา

ยามุดะต้องการให้คุณชายน้อยรับรู้เรื่องราวของพ่อตัวเองให้มากที่สุด แต่โอกาสของนางก็มีเฉพาะก่อนเซดะจะหลับไม่กี่ชั่วโมง…เพราะจิตพิรุธบอกอยู่เสมอว่า อูคาชิ ยาสุ กำลังเฝ้ามองด้วยความเจ็บปวดอยู่ที่ไหนสักแห่ง นางคิดเสมอว่าหากเป็นไปได้ นางปรารถนาจะส่งเซดะไปอยู่กับฟูจิกาว่าที่เมืองคาโกคุมะซะ ซามูไรผู้มีชีวิตใต้แสงตะวันเป็นสิ่งที่นางเฝ้ารอให้เกิดกับหลานชายคนเดียวมากกว่านักฆ่าใต้แสงจันทร์เช่นเดียวกับนาง

#ข้าเกียดโลกมืด…ใจข้าสั่น…ปานแผ่นดินจะเลื่อนลั่นแลภูผาช่องเขาคุโระอิ สีนิล จะถล่มลงมากลบหมู่บ้านชิโนบิจนไม่เหลือเรื่องราวให้กล่าวขาน#ปลายพู่กันที่พึ่งเขียนเสร็จสั่นระริก นางไม่กล้าเสี่ยงแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในหัว เพราะในรัศมีที่นางอยู่ อูคาชิ ยาสุพ่อสามารถสัมผัสถึงมันได้…

#ข้าจะทำอย่างไรดี…หากข้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เท่ากับเอายาพิษผสมในอาหารให้กับท่านพ่อกิน…ในที่สุดข้าก็จะเป็นต้นเหตุของเรื่องนอกรีตอีกจนได้#… “แล้วข้าจะทำอย่างไร”นางเผลอพลั้งอุทานออกมา

#ซามูไรคือครอบครัวที่ข้าปรารถนา…ท่านพ่อ#นางวางพู่กันและหยิบกระดาษแผ่นนั้นจ่อที่เปลวเทียนตรงหน้า มันลุกไหม้สว่างวาบ จนความรู้สึกที่ระบายเป็นตัวหนังสือเหลือเพียงผงไหม้สีดำกองใหญ่ นางนิ่งเหมือนต้องการจะอ่านความเงียบเพื่อหาทางออก แต่ฝ่ามือที่ขาวราวผ้าดิบกำลังละเลงอยู่กับผงไหม้สีดำนั้น

“ชีวิตของข้าแม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์” นางละเมอขาดสติ มือที่เปรอะไปด้วยผงไหม้ก็ลูบไล้ไปทั่วใบหน้า โดยเฉพาะขอบตาทั้ง 2 ข้างดูเหมือนนางจะเน้นเป็นพิเศษ เพียงครู่ผ้าสีดำที่ปล่อยชายทิ้งเอาไว้ด้านหลังก็ถูกดึงขึ้นมาคาดปิด นางปัดเปลวเทียนจนดับ ความมืดกลืนร่างในชุดพรางที่ยืนนิ่งใกล้ๆหน้าต่าง นกรัตติกาลพร้อมจะออกไปใช้ชีวิตที่มันแสนจะเกลียดชังแล้วเวลานี้

……….

อีกมุมหนึ่ง

อูคาชิ  ยาสุ ชายแก่วัย 75 ที่วันๆ เอาแต่จมปลักอยู่ในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต นับวันอำนาจในตัวจะลดน้อยลง หลายครั้งที่นินจาหนุ่มๆ มักจะมีการประชุมนอกรอบโดยไม่มีเขาอยู่ด้วย ผู้หญิงที่เกิดมาเพื่อเป็นวงดาบเสี้ยวจันทรา อย่างยามุดะเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไรนัก  หากไม่ใช่หน้าที่ตรงๆ นางก็เลือกจะอยู่กับเซดะเสียส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นอำนาจในการควบคุมทั้งหมดจึงตกเป็นของเด็กหนุ่มรุ่นใหม่อย่าง ยูกาว่า ชิการุ โดยสิ้นเชิง

“เคนจิ…ข้ากลัวความเชี่ยวกลาดของสายน้ำอย่างชิการุเหลือเกิน สายข่าวบอกข้าว่าเห็นเขาหายไปในป่าในหุบเขาโคงะอยู่บ่อยๆ…ข้าว่าชิการุคุงต้องมีแผนการบางอย่างร่วมกับพวกชิโนบิหลังเขาแน่ๆ” โอสุเกะ ฮิเดะตั้งขอสังเกต ขณะที่พวกเขามีโอกาสอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

“อิเงะสึงิ เคนซึเองก็คล้ายจะเป็นเช่นนั้นอีกคน…” เค็นจิตอบกลับเครียดๆ…พลางเป่าลมออกทางปากเสียงดัง

“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ…” โอสุเกะ ฮิเดะ ถาม

“ดูเหมือนเขาจะเศร้าหนัก ตอนที่ โอคิตะชัง ถูกพวกโคงะสังหารที่เกียวโต…และข้าก็มั่นใจว่าต้องเป็นเขาที่ขโมยเนื้อนางเงือกที่เหลือเพียงชินเดียวของตระกูลไป”

“อะไรนะ!…เขาหายไปพร้อมกับเนื้อนางเงือก…ทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้” โอสุเกะ ฮิเดะกระโจนพรวดเข้าไปกระซิบถามใกล้ๆ โหนกแก้มที่มีรอยแผลเป็นพาดผ่านสั่นกระตุกหลายครั้ง

“ถ้าเขากินมันเข้าไป เขาก็จะอยู่ได้ในร่างเด็กหนุ่มไปอีก 300 ปี” เค็นจิพูดต่อ…

“เคนซึ…มีเหตุผลอะไร…” โอสุเกะ ฮิเดะตวาดเสียงหลงพลางเกร็งฟันกรามแน่น “ทำไมไม่ใช่ยาสุที่ได้กินมัน…”

“คุณธรรมตัวเดียวที่พี่ชายข้าไม่ยอมกิน…สมบัติชิ้นเดียวที่แม่ทิ้งเอาไว้เลยต้องตกไปเป็นของพี่ชายต่างสายเลือดอย่างเขา…ข้าเกลียดมัน” เค็นจิกัดฟันพร่ำทั้งหมดที่อัดอั้นอยู่ข่างใน “แต่เขา…ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชิการุ”

“แล้วเราจะทำอย่างไร ต่อไป” โอสุเกะถามแบบคนกำลังหาทางออก

“หากเขากินมันเข้าไปตั้งแรกวันแรก เวลานี้อิเงะสึงิ เคนซึก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทารก ตามหาตัวเขาให้เจอแล้วสังหารเขาซะ ก่อนที่เนื้อนางเหงือกจะเลี้ยงตัวจนเต็ม เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะไม่ตายไปอีก 300 ปี และไม่มีใครสังหารเขาได้…นอกจากฟ้าจะส่งหญิงที่มีเลือดเป็นกรดมาเพื่อสังหารเขาโดยเฉพาะเท่านั้น…ซึ่งข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร”

“ข้าจะจัดการทันทีที่รู้…แต่เวลานี้เราต้องเพิ่มอารักขา คุณชายน้อยให้มากขึ้น…เพราะสายตาของชิการุคุง ทำให้ข้าไม่วางใจ” โอสุเกะ ฮิเดะพูดเกรงๆ โหนกแก้มสูงที่มีรอยแผลเป็นพาดผ่านกระตุกขึ้นมาอีก

“ข้าเองก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน…ข้าฝากเหลนของเราด้วยนะโอสุเกะ” เค็นจิกำชับแกมขอร้อง เขาตบไหล่เพื่อน 3 ที ก่อนจะเดินแยกไปหลังเรือนนอน

……….

#ไอ้บ้า…เคนซึ…ในที่สุดก็เป็นแก่จนได้…#เป็นเสียงกร่นด่าพร้อมๆกับลมหายใจที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของใครบางคนที่แอบฟังคนทั้งคู่สนทนากันอยู่

……….

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตสร้างรอยร้าวลึกให้กับ ยูกาว่า ชิการุ มากเพียงใด คุณชายน้อยเซดะที่เสมือนผลผลิตจากเรื่องนี้ ก็ยิ่งได้รับความเกลียดชังจากเขามากขึ้นเป็น 2 เท่า ยิ่งพรสวรรค์พิเศษเยี่ยงชิโนบิติดตัวคุณชายน้อยมากกว่าบุตรชายของตัวเองเข้าแล้ว ชิการุ ก็ยิ่งอยากจะสังหารเขาให้ตายโดยเร็ววัน

“อย่าหวังจะรอด…ไอ้เซดะ!” เขากระแทกเสียงกร่นต่ำจนน่ากลัว…สักพัก “หากบุตรของข้าคนนี้มีพรสวรรค์พิเศษติดตัวมาละก็ รู้ใช่ไหมซามิโอะจัง…ว่าข้าจะทำอย่างไรกับไอ้ตัวมารนั้น” เขาหมายถึงบุตรคนแรกของนาง

“ท่านพี่จะทำอะไรคุณชายน้อย” ซามิโอะค่อยๆ ปล่อยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่นางก็ระวังไม่ให้น้ำเสียงกระด้างเกินวิสัย

“ลูกของเราเองต่างหากที่สมควรจะเป็นคุณชายแห่งหุบเขาอิงะ…ข้าจะสังหารมันซะให้พ้นทาง” ยูกาว่า ชิการุพ่นความในใจลอดไรฟัน

“นั้นนะลูกข้านะ…” ซามิโอะโพล่งอย่างลืมตัว

                เพรี้ย! “บัดซบ… เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปนับญาติกับไอ้เด็กนรกนั้น” ยูกาว่า ชิการุ ตบหน้าจนซามิโอะฟุบหมอบติดกับพื้น เลือดสีแดงสดค่อยๆซึมออกจากมุมปาก

“ข้าขอโทษ…ข้าไม่ทันได้คิด…” เสียงของนางอ่อนลง

“ข้าหวังว่า คำพูดสับปลับพวกนี้ จะไม่หลุดออกมาให้ข้าได้ยินอีก” ชิการุบีบคางซามิโอะเชิดขึ้นจนเกือบจะชิด สายตาแห่งความเกลียดชังบีบรัดความรู้สึกของนางให้ตื่นกลัว “มันกับข้าต้องอยู่กันคนละโลก…จำใส่กะโหลกของเจ้าเอาไว้…ชิ!…” เขากดเสียงแข็งอาฆาต ฝ่ามือก็สะบัดนางจนล้มฟุบไปกับพื้นอีกเป็นครั้งที่ 2  “ชิ!…” พลางสะบัดหางเสียงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังใส่นางก่อนจะเดินกระแทกส้นเท้าออกจากห้องไป

……….

ความเกลียดชัง……….คือประตูสู่หายนะ

ดั่ง……..ผึ้งแค้นปล่อยเข็มพิษจนตาย

ซามิโอะจัง 

……….

บรรยากาศอึมครึมเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย ยามุดะเห็นความไม่ปลอดภัยที่กำลังเกิดขึ้นกับเซดะอย่างชัดเจน การลอบสังหารโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใครเกิดขึ้นหลายครั้งในรอบสัปดาห์นางเครียดและเป็นห่วงว่าสักวันนางอาจจะพลาดจนต้องเสียเซดะไปอีกคน…กระทั้งความอดทนที่นางมีขาดสะบั้นลง

“ท่านอา ข้าจะทำอย่างไรดี หากข้าพลาด เซดะ ก็ต้องตาย ข้าทนเสียเขาไปอีกคนไม่ได้” ยามุดะกัดฟันกระซิบกระซาบใกล้ๆหูของเค็นจิ ในตอนเย็นวันที่นางมั่นใจว่ายาสุไม่ได้อยู่ในรัศมี เค็นจิมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกระซิบตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบาๆไม่แพ้กัน “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่…รีบบอกข้ามา”

ยามุดะมองหน้าเค็นจิอย่างจริงจังก่อนจะตัดสินใจพูดอย่างที่นางอยากให้เป็น “หาก เซดะได้อยู่กับมินาโมโต เขาจะปลอดภัย”

“ยามุดะ!…”เค็นจิ อุทานอย่างคาดไม่ถึง แต่ยามุดะกลับพยักหน้าให้เชื่อมั่นตามนั้น “คุณชายน้อยเกิดมาพร้อมกับดวงดาวนักฆ่า…อูคาชิต้องการเขา…เราไม่มีตัวสำรอง” เค็นจิพ่นเสียงออกทางจมูก

“แต่ถ้าดาวนักฆ่าถูกดับไปละ… อูคาชิก็ต้องจบสิ้นอยู่ดี ซามูไรถือว่าเขาเกิดมาพร้อมกับดาวแห่งนักรบ…เขาจะดูแลเซดะอย่างดี ส่วนเราก็เพียงแต่รอให้เขาแกร่งพอจะรับมือกับพวกนอกรีตได้ เมื่อนั้นค่อยพาเขากลับมากอบกู้อูคาชิ…ก็ยังไม่สาย”

“แต่…” เค็นจิเงียบ ยามุดะจ้องเหมือนจะรอคำตอบ

“อื้อ!…” เค็นจิลูบเคราไม่กี่เส้นอย่างครุ่นคิด

“ข้าจะบอกฟูจิกาว่า…ขอให้ท่านอาไปเป็นอาจารย์สอนศาสตร์ของชิโนบิเมื่อพร้อม…ได้โปรด” ยามุดะกระซิบแกมวิงวอนกลายๆ

“แล้วจะเอาเหตุผลใดไปพูดกับยาสุละ” เค็นจิคล้ายจะเห็นด้วย จนทำให้ยามุดะฉายยิ้มออกมา

“นี้แหละคือสิ่งที่ข้ากลุ้มใจ…” ยามุดะตอบพร้อมๆ เสียงประตูบานเลื่อนค่อยเปิดเข้ามาทีละชั้น จนกระทั้ง

“ท่านพ่อ!…” ยามุดะเบิกตาค้างเมื่อรู้ว่าเป็นเขา และเค็นจิก็มีอาการไม่ต่างกัน

“ยาสุ…ท่านได้ยิน”

“คิดจะส่ง เซดะ ไปสู่อ้อมกอด ของ มินาโมโต…” ยาสุโพล่งขึ้นอย่างแข็งขืน พลางไล่สายตาที่แข็งกร้าวไปรอบๆห้อง…สักพักเขาก็เดินเข้าไปหยุดที่หน้าตราสัญลักษณ์รูปสายฟ้าสีดำผ่ากลางจันทร์เสี้ยวที่แขวนนิ่งบนผนัง “คิดจะส่งเซดะไปสู่อ้อมกอดของมินาโมโต” และประโยคเดิมก็หลุดออกมาอีก ยามุดะกับเค็นจิมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ สักพักเขาก็เดินอ้อมมานั่งลงบนเบาะผ้าสีน้ำตาลสลับขาวด้านหน้าของคนทั้งคู่ “ทั้งหมดมันเป็นความผิดของข้าเอง ข้าเสียทีให้กับอิเงะสึงิ เคนซึ ตั้งแต่เขาได้เนื้อนางเงือกไป และตอนนี้ข้าก็ไม่แกร่งพอที่จะลุกขึ้นมากำหลาบพี่น้องชิโนบิที่กำลังออกนอกรีตอีก” ยาสุสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ดวงตาที่เหม่อลอยไปหยุดที่ตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลอีกครั้ง

“ตราสัญลักษณ์ของตระกูลอูคาชิ จะต้องมีคนมาสานต่อ ข้าควรจะทำอย่างที่เจ้าแนะใช่ไหม ยามุดะ” เสียงของยาสุอ่อนลง จนรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าได้อย่างชัดเจน แต่ยามุดะและเค็นจิก็ยังนิ่ง  “เค็นจิ…ข้าเป็นพี่ที่แย่มากๆเลยใช่ไหม…อันที่จริงเนื้อนางเงือกชิ้นสุดท้ายมันน่าตกเป็นของเจ้า…แต่ข้าก็ไม่เข้มแข็งพอจะยื่นมันให้…”

“ท่านพี่…อย่าแสดงความรู้สึกเช่นนี้กับข้า…” เค็นจิตอบกลับ เขาก้มศีรษะลงจรดพื้น “ได้โปรด…”

“ท่านพ่อ…ความผิดทั้งหมดเป็นเพราะข้าคนเดียวที่นอกรีตตามใจตัวเองตั้งแต่แรก…” ยามุดะละล่ำละลักปนสะอื้นอย่างสุดจะทน

“เขา จะ ปลอดภัย ใช่ไหม…หาก ได้อยู่กับ …มินาโมโต” ยาสุพยายามเค้นคำพูดเหล่านั้นออกมาอีก

“…ท่านพ่อ!”

“ข้าถามว่า…เขาจะปลอดภัยใช่ไหม?” ยาสุตะเบ็งเสียงแข็ง จนยามุดะลนลานคลานเข้าไปหมอบนิ่งใกล้ๆ นางก้มหน้าร้องไห้อยู่กับพื้นจนยาสุยอมถามประโยคเดิมด้วยน้ำเสียงที่แผ่วช้า…“เหลนข้าจะปลอดภัย…อย่างที่เจ้าว่าใช่ไหมยามุดะลูกรัก”

“เขาจะไปแทนช่วงชีวิตหนึ่งชองโคทาโร่ที่หายไป…ท่านพ่อ ข้าสัญญา ข้าจะไม่ให้ ฟูจิกาว่า เปลี่ยนชื่อใหม่ให้กับเขาเด็ดขาด เขาจะเติบโตขึ้นเป็น อูคาชิ อย่างสง่างามและเต็มเปรี่ยมไปด้วยคุณธรรม เพื่อจะกลับมาสานต่ออุดมการณ์ของชิโนบิเมื่อเขาแกร่งพอ...สายฟ้าสีดำผ่ากลางจันทร์เสี้ยว จะยังคงอยู่…ข้ามั่นใจ” ยามุดะพูดอย่างที่ใจคิดจนจบ นางเริ่มสัมผัสได้ถึงความฝันที่กำลังเป็นความจริงในขณะที่นางกำลังร้องไห้

“ข้าหวังว่า…เมล็ดถั่วจะยังคงงอกใหม่เป็นต้นถั่ว…ไม่ว่ามันจะหล่นลงบนผืนดินอิงะหรือคาโกคุมะก็ตามที…สัญญาชิโนบิจะไม่มีวันตายนะลูกรัก…และเป็นหน้าที่หลักของเจ้าเค็นจิคุง”เมื่อน้ำเสียงที่เย็นเฉียบของยาสุจบลง ใบไม้และดอกไม้ทั้งป่าก็พลันผลิยอด ผลิดอกใหม่เบ่งบานพร้อมกันทั้งหุบเขา โดยเฉพาะดอกไม้สีขาวรูปกระดิ่ง ดอกซูซูรัน ที่ขึ้นบนพื้นดินเฉอะแฉะ มันยังคงส่งกลิ่นหอมในยามที่สายลมอ่อนโชยเข้ามา เหมือนจะบอกว่า “ความสุขกำลังหวนคืนมาอีกครั้ง”

……….

แม้แต่ดอกไม้ติดดิน………ก็ยังมีความหมาย

Return      of       happiness

โอ้เจ้าดอกซูซูรัน…………………………..

อูคาชิ ยามุดะ

……….

Visited 9 times, 1 visit(s) today

เผยแพร่โดย

Avatar photo

TIMMY BUTO

นักเขียน เรื่องจริงอิงนิยาย และเรื่องราวทั่วไป