คุณนายซาอุฯ บทที่ 2

คุณนายซาอุฯ บทที่2

ขันหมากมาแล้ว คุณนายซาอุฯ บทที่2 (ฉบับบ้านโคกอีรวย) งานแต่งงาน นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง

คุณนายซาอุฯ บทที่2

ขันหมากมาแล้ว (งานแต่งงาน)

เมื่องานวัดพระเจ้าใหญ่บ้านหัวแฮดจบลง ไม่กี่เดือนต่อมาฝนแรกของฤดูก็ตั้งเค้าทะมึนโอบล้อมป่าเต็งรังไว้ทุกด้าน ดอกพะยอมหน้าแล้งกำลังล่วง กระนั้นกลิ่นหอมอันเป็นเสน่ห์ของมันก็ยังคงตกค้างอยู่ในใจของหลายๆ คน ใบอ่อนเริ่มผลิแล้วป่าใบใหม่ก็กำลังกลับมารกครึ้มเหมือนทุกๆ ปี เห็ดโคนป่าสารพัดรอบๆ บ้านโคกอีรวยผุดขึ้นมาจากดินรอให้เก็บไปใส่หม้อแกง ผักติ้วป่าฝาดเปรี้ยวๆ ที่คู่กันแทงยอดสีแดงส้มรอให้เด็ดไปปรุงรส น้ำปลาร้าที่เก็บอยู่ในไหข้างเล้าไก่ส่งกลิ่นหอมเชิญชวนแมลงวันไปวางไข่ กระนั้นใบตาบฆ่าหนอนก็ยังถูกเจ้าเด็ดยอดมาวางปิดกั้น แม่ใหญ่สิมเจ้าของไหปลาร้าต้องคอยเอาผ้าพลาสติกพร้อมกับเชือกฟางมารัดตรึงปิดปากไหเอาไว้อีกชั้น ส่วนพ่อใหญ่เหลือ ทันทีที่ฝนกระหน่ำปิดฟ้าทั้งคืนยันรุ่งสาง แกก็ลุกไล่วัว-ควายลงสู่ทุ่งนาติดห้วยลำพังชู ปานนี้คงใช้ไอ้ทูล ควายเขาเล (ควายเขาโค้งยาวกว้างๆ) ไถนาได้หลายคลอง แต่ไม่ทันหม้อแกงเห็ดจะเดือดแกก็ก้าวฉับๆ ผ่านต้นขนุนใหญ่หน้าบ้านแม่ใหญ่บัวกลับมา

“เจ้าลืมอีหยัง (คุณลืมอะไร)” แม่ใหญ่สิมถามตั้งแต่พ่อใหญ่เหลือยังไม่ผ่านประตู ดวงตาขวางแดงๆ เหลือบมองแม่ใหญ่สิมแว๊บเดียวก่อนจะตะโกนเสียงดังขึ้นไปบนบ้าน

“อีวารี ลงมาหากูเดี๋ยวนี้”

“ข่อยให้อีวามันไปเก็บผักอีตู่ (ใบแมงลัก) บ้านยายเล็ก มีอีหยังกับมัน” แม่ใหญ่สิมเดินเข้าไปถามใกล้ๆ

“ต้องคุยกับมันให้ฮู้เรื่องวันนี้”

“มันไปเฮ็ดอีหยังให้เจ้าอีกละ (มันไปทำอะไรให้ละ)” แม่ใหญ่สิมขึ้นเสียงแบบคนไม่ยอมแพ้ ฟ้าทางทิศตะวันออกเพิ่งจะสาดแสงแรกฉาบน้ำค้างบนใบขนุนจนเกิดแสงสะท้อนระยิบระยับ

“เจ้าฮู้เรื่องนี้แม่นบ่ (ใช่ไหม)”

“เรื่องอีหยัง เว้ามาโลด (เรื่องอะไร พูดมาเลย)” แม่ใหญ่สิมคายคำหมากแบบรีบๆ ก่อนจะเดินไปบ้วนส่วนที่เหลือทิ้งแล้วกลับมาอย่างคนเอาจริง “อีวา มันไปทำอีหยัง (อะไร) ให้เจ้า ลองเว้าให้ข่อย (ฉัน) ฟังซิ”

“ข่อย ต้อนวัวควายไปนา เจ้าฮู้บ่ (รู้ไหม) ว่าไผมาไถ่นาเฮา (ไผ=ใคร)” พ่อใหญ่เหลือพูดเสียงเกร็งสั่นแบบคนกำลังเครียดจัด ยิ่งทำให้แม่ใหญ่สิมที่ตั้งท่ารออยู่แล้วชักสีหน้าสงสัยขึ้นมาอีก

“หึ!…นากะนาเฮา (เรา) ไผสิเป็นบ้ามาไถ่ฮุดให้ละ (ไถฮุด=ไถดะ)”

“บักทอง ลูกพ่อใหญ่จันทร์ บ้านโนนทุ่ง”

“ห่า…บักทิดทองหมู่ (เพื่อน) บักทิดดอนบักทิดไซนั้นนะ”

“แม่นแล้ว”

“รึมันสิมักอีวารี” แม่ใหญ่สิมพูดแบบคนกำลังคิด

“นี้แหละ ข่อยถึงต้องกลับมาถามมันให้ฮู้เรื่อง”

“นั้นๆ…อีวามันมาแล้ว เจ้าอยู่ซื่อๆ (เฉย) ข่อยสิถามมันเอง” แม่ใหญ่สิมออกหน้าก่อนจะวนไปคนหม้อแกงอีกรอบหนึ่ง ทางพ่อใหญ่เหลือเมื่อได้ยินภรรยาออกหน้ารับแทน แกก็เดินหายขึ้นไปบนบ้านทันที

“อีวา อีวา ได้ผักอีตู่บ่ (ใบแมงลัก)

“นี้…อีแม่…พวกเจ้ามีหยังกัน (มีอะไรกัน) เสียงดังสามบ้านแปดบ้านแต่เซ่า (แต่เช้า)” วารีวางใบแมงลักใกล้หม้อแกงก่อนเธอจะเปิดฝาคนอีกรอบ “ปลาแดก (ปลาร้า) เจ้าตักให้ข่อยแล้วบ่” วารีถามต่อ

“วาแม่ขอถามข้อหนึ่ง” แม่ใหญ่สิมลงเสียงต่ำ จนทำให้วารีถึงกับชะงักแบบไม่เคยเป็นมาก่อน

“อีแม่….”

“วารี…บักทิดทองบ้านโนนทุ่งเคยขึ้นหามึงบ่” ทันทีที่ได้ยินคำๆ นี้ทับพีที่ถืออยู่ในมือก็หล่นพื้นดินที่เฉอะแฉะทันที

“……..” เธอหน้าแดงซ่านแบบคนไม่มีคำแก้ตัว… “เคยไปเที่ยวงานบุญพระเจ้าใหญ่บ้านหัวแฮดเทียเดียว (ทีเดียว)”

“บักทองมันมักมึงบ่ (ทองเขารักเธอไหม หึ! แถม)”

“อีแม่…..”

“มันไปไถ่นาฮุดก่อนกู เสร็จเป็นไฮๆ พูนตั้ว (ภาษาอีสาน 1 ไฮ ไม่ใช่ 1 ไร่นะครับ แต่เป็น 1 แปลงที่มีคันนาล้อมรอบ)” เสียงพ่อใหญ่เหลือที่อดรนทนไม่ไหวดังลงมาจากนอกชาน ยิ่งทำให้วารีถึงกับไปไม่เป็น “ถ้ามันฮักมึงอีหลี (ถ้ามันรักมึงจริงๆ) กะให้เอาควายมา 1 ตัวพร้อมกับเฮ็ดนาช่วยกู (เฮ็ดนา=ทำนา) ถ้าจะแต่งต้องหลังเอาข้าวขึ้นเล้าพู้นละ (เล้า= ยุ้งฉาง)”

“อีพ่อ….”

“เดี๋ยวกูต้องเข้าไปคุยเรื่องนี้กับพ่อใหญ่จันทร์ให้มันเด็ดขาดไปเลย สิมาทำแบบนี้บ่ได้ เดี๋ยวชาวบ้านชาวเมืองจะเอาไปนินทา”

“อีแม่…”

“มึงอยู่ซือๆ (เฉย) เป็นเรื่องของผู้ใหญ่”

“มีดอีโต้ข่อยอยู่ใส (ใส=ไหน)” พ่อใหญ่เหลือตะโกนถามหลังจากได้ผ้าขาวม้าผืนใหม่มาคาดพุงไว้เรียบร้อย

“เจ้าบ่กินข้าวก่อนบ่”

“กินบ่ลงดอก ข่อยสิฟ้าวไปฟ้าวมา (ฟ้าว =รีบ)”

“เหน็บอยู่ข้างแอ่งน้ำนั้นละ ไผ่สิไปเอาของเจ้า ฮ่วย! พ่อใหญ่ห่านิ” (ฮ่วยเป็นคำอุทานประมาณ หึ!หา!)

“เออๆ เห็นแล้ว” และทันทีที่พ่อใหญ่เหลือลงบันไดมาหยุดใกล้ๆ ลูกสาว แกก็ตะเบ็งเสียงลอดไรฟันใส่อีก “เช้านี้ มึงห้ามออกไปนาเด็ดขาด ข้าวก็บ่ต้องเอาไปส่งกู หิวยามใดกูสิเข้ามากินเอง”

“…….” วารีได้แต่พยักหน้าหงึกๆ กระนั้นใบหน้าที่แดงราวกับลูกตำลึงสุกก็ยังคงสภาพเป็นตำลึงสุกที่ใกล้จะเหี่ยวเต็มที

………

ฝนห่าแรกของฤดูผ่านพ้นไป แต่ยังไม่ทำให้น้ำในนาเจิ่งนอง ทุกหยาดหยดเหมือนจะซึมลงสู่ใต้ดินอย่างรวดเร็ว เพียงเท่านั้นหญ้าตีนเสือ หญ้าแห้วหมูหน่อแรกก็โผล่พ้นขึ้นมาจากดิน ฝูงวัว-ควายที่ตั้งหน้าตั้งตารออยู่แล้วก็ได้เวลาลิ้มรส เด็กๆ บ้านโคกอีรวย ที่ออกมารอเวลาต้อนวัวควายเข้าคอกก็พากันวิ่งไล่ตั๊กแตนตามคันนาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ตั๊กแตนโม (ตั๊กแตนตัวใหญ่หัวแดง) ตัวนั้นของกู” เด็กชายกำลังย่างเข้าวัยหนุ่มกระแทกเสียงดังใส่เพื่อนวัยเดียวกันที่ตัดหน้าจับตั๊กแตนที่ไล่มาตั้งแต่ลานต้นตาลก่อน

“กูจับได้มันก็ต้องเป็นของกู”

“แต่กูไล่มันมา มันต้องเป็นของกู เอาคืนมาบักหำ บ่จังซั่น (ไม่อย่างนั้น) กูสิไปบอกแม่กู” แดดเริ่มโรยตัวต่ำลงแล้ว พายุลูกใหม่ก็ตั้งเค้าปิดฟ้ามาจากทิศใต้ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่มีท่าทีจะอ่อนข้อให้กัน ผิดกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งบนโพนต้นมะขาม (โพน=หลานของภูเขาประมาณเนินดินขนาดย่อมๆ) เสียงหัวเราะต่อกระซิบดังเงียบจนจับสำเนียงไม่รู้เรื่อง วัวควายก็และเล็มยอดหญ้าอยู่ไม่ไกลกลิ่นของมันผสานเข้ากับกลิ่นสาวแรกรุ่นจนทำให้ชายหนุ่มที่นั่งเคาะกิ่งไม้แก้เขินไม่ยอมห่างไปไหน

“ไร…บักทิดไซกับอีศรีเขาสิหมั่นกันแล้วเด่ (เด่ = นะ) แล้วคู่ของเฮาละ (เฮา = เรา) บ่ทันไปถึงไสเลย (ไส = ไหน)”

“อีศรีกับบักทิดไซสิหมั่นกันวันใดอ้ายทิดดอน”

“เห็นบักทิดไซบอกเมื่อเซ่านี้ว่าเร็วๆ นี้ละ (เซ่า = เช้า)”

“อีดา อีวารี อีไรรายอมมันได้ แต่ถ้าเป็นอีศรี จังได (หัวเด็ดตีนขาด) กะบ่ยอมแพ้เด็ดขาด”

“อ้าว! เป็นหยังจังว่าจังซั่น (ทำไมถึงว่าอย่างนั้นละจ้ะ)”

“กะเป็นเพราะว่า อีศรีมันเป็นหมู่ (เพื่อน) ข่อยมาตั้งแต่เป็นเด็ก มันสิได้ดีเกินหน้าเกินอีไรราคนนี้บ่ได้”

ทิดดอนมองหน้าไรราแบบคนตื่นตระหนก แต่สักพักมือของไรราก็วางแหมะที่หลังมือ จนชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว แต่ก็แอบยิ้มกริ่มแบบคนได้ใจให้เห็น

“อ้ายทิดดอน…ถ่า (ถ้า) คืนนี้ฝนตก กบเขียดต้องออกแน่นอน”

ทิดดอนยิ้มกว้าง “อ้ายสิไปถ่า (รอ) อยู่หนองกะเดา เฮาสิไปซอย (ช่วย) กันจับกบตกลงบ่”

“อ้ายทิดดอนนะ…”

“ตกลงเนาะ…ถ่าไรบ่ไป…อ้ายกะสิถ่าไรอยู่เมิดคืน (ทั้งคืน)”

“อ้ายทิดดอนจักเว้าอีหยัง (พี่ทิดดอนนะ ไม่รู้พูดอะไร….)”

“เนาะไรเนาะ….” มือของทิดดอนจับกุมบีบมือไรราเบาๆ….สัญญารักของหนุ่มสาวบ้านโคกอีรวยก่อเกิดขึ้นอีกคู่หนึ่งแล้ว

ไม่ทันจะสรุป ฝนห่าที่ 2 ทางทิศใต้ก็ไล่ปิดฟ้ามาทีละส่วน หนุ่มๆ สาวๆ และเด็กๆ ต่างแตกตื่นรีบไล่ต้อนวัวควายเข้าบ้านกันจ้าระหวั่น ฟ้าแล็บ-ฟ้าร้องคำรามขู่ก้องไปทั้งทุ่ง แดดสุดท้ายสีครีมเข้มๆ ยังคงอยู่ แต่สักพักเมฆสีดำสนิทก็กลืนกินทุกสรรพสิ่งให้เป็นสีเดียวกับมัน

ห่าฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด คนบ้านโคกอีรวยต่างตระเตรียมตะเกียงเจ้าพายุ ไฟฉาย ข้อง ฉมวก เสียงตะโกนถามกันแข่งกับสายฝนจึงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ

“อีบัวลอย มึงสิไปจับกบกับกูบ่”

“ไปๆ กำลังเตรียมของ” สาวบัวลอย ตัวเล็กร่างอ้วนกลมป้องปากตะโกนกลับ

“เออสักพักพ้อกันเด้อ (พ้อ =เจอ)”

“เออ…ไปหาซื้อแก๊สมาเพิ่มก่อน”

“ร้านเจ๊กเตี้ยมีขาย เพิ่งจะไปซื้อกลับมา”

“ขอบใจหลายๆ”

และแล้วค่ำคืนหฤหรรษ์ก็มาถึง

พายุฝนโหมกระชากจนปลายต้นรัง ต้นยางนาไหวเอนหลู่ไปตามทิศกระชาก เสียงกบ-เขียด-อึ่งอ่าง ร้องระงมไปทั้งทุ่ง แสงไฟ แสงตะเกียงเจ้าพายุต่างสาดนำทางราวกับเทศการเล่นไฟ บางคนถือแห บางคนได้ฉมวก หลายคนถือสวิง (อุปกรณ์จับสัตว์น้ำสานด้วยด้ายขอบเป็นไม้ดัดกลมขนาดใกล้เคียงกับถาดรองถ้วยหรือกาละมัง) ต่างมุ่งตรงสู่หนองน้ำรอบๆ หมู่บ้าน แต่หลายชีวิตก็มุ่งตรงสู่หนองกะเดาอย่างไม่ลังเล

“อีบัวลอยมึงสิไปจับหม่องได่ (หม่องได่ = ทีไหน)” ไรราถามแบบคนกำลังคิด

“กะว่าสิไปนาผู้ใหญ่บัว แถวนั้นกบหลายคัก (หลายคัก = มากมาย)”

ไรราอมยิ้มแบบคนสมหวังก่อนจะสั่งเพื่อนรุ่นพี่เบาๆ ว่า “กูสิไปหนองกะเดา ถ้าจะกลับบ้านไปหากูเด้อ” ลูกตาในเงามืดกลิ้งกรอกไปมา

“เออ….ขอให้หมานๆ ไป ไป เสียงกบเสียงเขียดหลายคักปีนี้… (หมานๆ=ได้เยอะๆ, มีโชค)”

“เออๆ อย่าลืมไปพ้อ (เจอ) กูอยู่หนองกะเดาเด้อ” ไรรากำชับบัวลอยอีกรอบก่อนจะเร่งฝีเท้าตรงไปยังเป้าหมายด้วยหัวใจที่เร่งเร้าพอๆ กับสายฝนในยามนี้…..

และในเงามืดตอนเกือบๆ จะ 4 ทุ่ม สายฝนที่โหมกระหน่ำตั้งแต่ตอนเย็นก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุด 2 หนุ่มสาวก้มๆ เงยๆ จับกบเขียดด้วยความสนุกสนานเมื่อได้มากพอแล้ว

“อุ้ย!….อ้ายทิดดอน”

“ไร อ้ายมักไรหล้ายหลาย….เป็นของอ้ายซะเนาะไรเนาะ”

“อ้ายทิดดอน เดี๋ยวกะมีคนมาเห็น”

“ใครซิมาตอนนี้…บ่มีคนมาดอกไร”

“อ้ายดอน….อ้ายต้องรับปากกับไรก่อนว่ามื้ออื่นอ้ายสิให้พ่อแม่ไปสู่ขอ”

“ไร อ้ายมักไรหลายขนาดนี้ จังได่ จังไดอ้ายกะสิให้พ่อกับแม่อ้ายไปขอไรหลังเกี่ยวข้าวนั้นละ”

ในหัวไรราเห็นศรีเพื่อนรักผุดขึ้นมาหลอน เพราะข่าวงานหมั่นระหว่างเธอกับทิดไซกระจายตั้งแต่ยังไม่ค่ำว่าจะเป็นวันข้างขึ้นที่จะถึงนี้ “บ่ได่เด็ดขาดอ้ายทิดดอน….”

“อ้ายบ่ทันมีเงินมีคำ” (มีเงินมีคำ=มีเงินมีทองคำ)

“เอาวัวพ่อใหญ่หมานสักโตมาหมั่นไว้ก่อนก็ได้ พ่อแม่ไรไม่ว่าดอก”

“……..” ทิดดอนคิดขณะที่มือยังไล้ท์ไปกับแผ่นหลังของไรราไม่หยุด “คันซันคืนนี้ไรเป็นของอ้ายเนาะ”

“แสดงว่าอ้ายทิดดอนตกลงแล้วแมนบ่”

“อ้ายสิเว้า (พูด) ขอวัวกับอีพ่อมื้ออื่นเซ่า (มื้ออื่นเซ่า=พรุ่งนี้เช้า)….”

“อ้ายทิดดอน….อ้ายทิดดอนนะ”

“ไร ไรราจ๋า….”

สักพัก……ในเงาตะคุ้มๆ ที่คนทั้งคู่ไม่ทันเห็น

“ผู้ไดนั้น ผู้ไดกำลังเฮ็ดหยังกัน…ผู้ได๋ (ใคร ใครกำลังทำอะไรกันนะ)” เป็นเสียงบัวลอยดังขึ้น

“ฮ๊ากกกก เอื้อยบัวลอย”

“บะ บะ บักทิดดอน…อิ อี ไร พวกมึง….พวกมึง”

“บัว…บัวลอย…”

“เรื่องนี้บ่จบ…พวกสูเฮ็ดบ่ดี เรื่องนี้ต้องถึงเฮือนผู้ใหญ่บ้าน”

“เอื้อยบัว…ข่อยๆ”

“มึงบ่อต้องเว้ากับกูเลยบักทิดดอน ถ้าแก๊สตะเกียงกูบ่เมิด (ไม่หมด) เรื่องนี้คงบ่มีผู้ไดฮู้…พวกสู 2 คนเอ็ดเรื่องบ่ดี มื้ออื่นเซ่าเตรียมตัวขึ้นบ้านผู้ใหญ่ได้เลย”

คำขู่ของบัวลอยดูเหมือนไรราจะแอบสมหวังนิดๆ เธออมยิ้มในเงามืดก่อนจะจัดแจงกับเสื้อผ้าแล้วเดินตามคนทั้ง 2 กลับเข้าหมู่บ้าน

เช้าวันรุ่งขึ้นข่าวของไรรากับทิดดอนก็กระจายราวกับไฟลามทุ่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้งคู่ต่างไปรวมตัวกันอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่สา ผู้ใหญ่บ้านโคกอีรวยที่ทุกคนให้การเคารพ….การเจรจาพูดคุยเป็นไปอย่างดุเดือด ทางพ่อแม่ไรราจะเอาวัว 1 ตัว ควายอีก 1 ตัวเป็นของหมั่น แต่พ่อใหญ่หมานพ่อทิดดอนยืนกระต่ายขาเดียวให้แค่วัว ส่วนงานแต่งกำหนดคร่าวๆ เป็นหลังเก็บเกี่ยวจะเอาเงินสดให้อีก 2000 บาท กระทั้งตกลงกันได้ทุกคนจึงแยกย้าย

“ได้วัวตัวเดียวกับเงิน 4000 บาทอีไรเอ้ย”

“เซ่าเว้าตา เซ่าเว้า…อายชาวบ้านเขา (เซ่าเว้า = หยุดพูด)” แม่ใหญ่สายพิน แม่ของไรรากำชับสามี พลางเบนสายตากลับไปยังเรือนตัวเอง “อีไรเอ้ย จังแมนมึงเฮ็ดกูคักเนาะ (อีไร ทำไมมึงทำกูได้)”

“เจ้ากะเซ่าเว้ายาย ซางมัน (ชั่งมัน)…ได้ขนาดนี้ข่อยกะพอใจแล้ว…มื้ออื่นสิให้บักทิดดอนไปไถฮุดให้” (ไถนาฮุด=ไถดะ)

“น้าน!….มีคนใช้งานแล้วน้อพ่อใหญ่ เฮ้ยๆๆๆๆ อยากหัวเราะ”

“มื้ออื่นให้บักทิดดอนไปไถ่นาติดห้วยให้ข่อยเลย บ่ซั่นเรื่องนี้บ่จบ (บ่ซั่น = ไม่อย่างนั้น)”

“เออๆ สิเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วบักทิดดอนบ่ยอมให้อีไรไถ่นาคนเดียวดอก” เสียงผู้ใหญ่สาดังปิดท้าย ก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะของลูกบ้านรับกันเป็นทอดๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

“ไป ไป กลับบ้าน” ผู้ใหญ่บุญมาเร่งเมียก่อนจะเข้ามาขอจับมือกับพ่อใหญ่หมานพ่อทิดดอนแบบกระชับมิตร “มื้ออื่นข่อยให้บักทิดดอนเอาควายอีตู้ (ความเขาสั้น)ไปไถนาให้เจ้าแต่เซ่า (เช้า)”

“มันต้องจังซี้ (มันต้องแบบนี้) จังซิขึ้นชื่อเป็นดองกัน (เป็นดองกันหมายถึงเป็นการเชื่อมโยงเครือญาติระหว่าง 2 ครอบครัวที่แต่งงานกัน)”

“ไป ไป ยายกลับบ้าน…..”

……….

สวัสดิ์ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเสี่ยเจริญค้าไม้ในตลาดก็ได้ไปช่วยดาทำนา ทำเป็น-ไม่เป็นเขาก็ทำเพื่อเอาชนะใจพ่อตาแม่ยาย ซึ่งผลออกมาก็ถือว่าผ่าน กระทั้งข้าวตั้งท้องออกรวงเหลืองอร่ามไปทั้งทุ่ง เขาและเธอจึงมีการหมั่นหมายเกิดขึ้น ทั้ง 4 หนุ่ม 4 สาว 4 ครอบครัวก็ได้ทำลานนวดข้าวใกล้ๆ กัน (ลานนวดข้าวสมัยโบราณ เขาจะเลือกพื้นที่บริเวณดินแข็งทำการถากถางต้นไม้-ต้นหญ้า-เกลี่ยดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดพอเหมาะให้เรียบ-แน่นก่อนจะนำขี้วัว ขี้ควายใหม่ๆ สดๆ มาผสมน้ำลาดฉาบผิวหน้า และปล่อยให้แห้งสนิทจึงจะเอาข้าวที่เกี่ยวมัดรวมเป็นกำๆ ขนาดพอเหมาะมากองเป็นชั้นๆ เพื่อทำการนวดต่อไป)

ลมหนาวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือโชยมาเอื้อยๆ 4 หนุ่มกับ 4 สาวช่วยกันนวดข้าวรวมลานจนแล้วเสร็จ หลังจากขนข้าวขึ้นยุ้งฉางแล้ว การเจรจาของผู้ใหญ่เพื่อหาวันฤกษ์ดีมีชัยก็เริ่มขึ้นและวันเดียวกันนั้นบ้านโคกอีรวยก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที

“อีศรี กูบ่แพ้มึงแน่นอน”

“เป็นหยังอีก (เป็นอะไรอีกยะ)”

“กูตั้งท้อง”

“หา!…..อีไร…มึง….มึงมีลูก”

“เออ ฮ่าๆ….กูชนะมึงใสๆ”

“มึงต้องจุดตะเกียงแต่งงานเด่….ไม่อย่างนั้น”

“พ่อแม่กูฮู้แล้ว ไอ้ทิดดอนพ่อแม่ไอ้ทิดดอนก็ฮู้ ฮ่า ฮา ฮ้า ฮ่า”

“เออๆ กูยอมมึง ดีใจนำเด้อ!”

(ที่บ้านโคกอีรวย….ถ้าผู้หญิงท้องก่อนแต่ง ในพิธีแต่งงานจะต้องจุดตะเกียงไม่ให้ไฟดับจนกว่าจะส่งตัวเข้าเรือนหอ)

…….

“โฮ่ โฮ โฮ่ โฮ ฮิ้วววววววววววววววววว…… ขันหมากมาแล้ว ………”

จบ ขันหมากมาแล้ว คุณนายซาอุฯ (ฉบับบ้านโคกอีรวย) บทที่ 2 งานแต่งงาน

Visited 12 times, 1 visit(s) today

เผยแพร่โดย

Avatar photo

TIMMY BUTO

นักเขียน เรื่องจริงอิงนิยาย และเรื่องราวทั่วไป