นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part2 สมรภูมิปักษา4
สมรภูมิปักษา4
ลูกจันทร์สีทอง
ฟ้าต้อนรับวันใหม่ด้วยเมฆสีทองสะท้อนแสงแรกกระจัดกระจายแผ่เป็นรูปพัดทางทิศตะวันออก ฝูงนกที่จับคอนหลับตามกิ่งไม้ใบหนาก็ได้เวลาออกโผบิน เสียงจ้อกแจ้กจอแจทักทายกันไปมาประหนึ่งพวกมันกำลังไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบถึงเหตุพายุในคืนที่พึ่งจะผ่านมาตามแบบภาษาเฉพาะ มินาโมโต โคทาโร่ กำลังยืนนิ่งท้าแสงแรกอยู่บนโขดหินติดกับแนวชายป่า เขากำลังเสพความสุขที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆ เสียงนกเสียงไก่และสารพัดสัตว์ที่นี้ยังเป็นสำเนียงเดียวกับที่คาโกคุมะและหุบเขาที่ไม่อยากจะเอ่ยถึง
“พวกมันใช้ภาษาเดียวกัน” เขางึมงำในขณะเชิดหน้านิ่งมองออกไปยังทุ่งโล่งที่เต็มไปด้วยต้นตาลโตนดนับพันเหมือนจงใจวาดสายตาไปยังปลายไผ่ที่ขึ้นเป็นกลุ่มอยู่ลิบๆ ด้วยหัวใจที่กำลังเบาหวิวบอกทางไม่ถูก
“นางเหมือนแสงแรกที่ข้ารอคอยมานาน…” เสียงเหมือนคนละเมอดังขึ้น ใบหน้าที่ยิ้มเศร้าๆหยุดอยู่จุดเดิม “เจ้า…เป็นคนแรกที่ใช้หัวใจยิ้มแทนริมฝีปากให้ข้า…จันทร์หอม” เขาพูดออกมาอีกพร้อมกับเผลออมยิ้มจนหน้าแดง แต่ทันใดนั้นเสียงจากกระแสจิตบางๆที่ไม่ใช่สำเนียงอูราคามิก็ดังขึ้นในหัว (คุณชาย ผู้หญิงจะเสริมพลังคำสาบที่ติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เกิดให้แกร่งขึ้น…หากไม่เชื่อข้า เจ้าจะต้องตายเพราะนางมิใช่สงคราม…เจ้าต้องตายเพราะผู้หญิงมิใช่อาวุธของศัตรู)
(เจ้าจะต้องตายเพราะผู้หญิง มิใช่สงคราม) มันดังชัดเจนขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่โคทาโร่ก็เลือกจะเป่าลมออกมาทางปากพลางสะบัดหัวเหมือนต้องการให้เสียงที่ได้ยินหลุดออกไปให้เร็วที่สุด“วู้!….” เขาทำซ้ำกันอีก 2 ครั้งจนรู้สึกดีขึ้น
“นางใช้หัวใจยิ้มให้ข้า ท่านพ่อ”เขาเอ่ยมาพร้อมกับภาพของมินาโมโต ฟูจิกาว่า มิใช่เจ้าของเสียงสื่อนั้นๆ…ดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตค่อยๆ ลอยสูงเหนือยอดตาลโตนด ตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลรูปนกกระเรียนมงกุฎแดงกำลังบินผ่านดวงอาทิตย์ก็ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ
“ข้าคิดถึงคาโกคุมะ…คิดถึงปราสาทบนเนินเขา มิใช่นาง…” เขาเตือนสติตัวเอง “ข้าเจอนางช้าไป…” และเขาก็สับสนในเวลาเดียวกัน
“อะนะทะโอะ ไอฌิเทะอิมะซึ ข้าหลงรักนางเข้าแล้วหรือนี้…”
(เจ้าต้องตายเพราะผู้หญิง…เจ้าต้องตายเพราะผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่สงคราม)
“เอ้!…ไม่…เสียงท่าน…” โคทาโร่หยุดกลั้นลมหายใจสักพัก “ปล่อยข้าไป…” เขาตะโกนความเก็บกดที่อัดแน่น แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ดี “ท่านพ่อ…” หมายถึงใครกันละโคทาโร่เริ่มลังเล “ท่านพ่อ”
(คุณชาย…เจ้าจะเสียใจในความเป็นซามูไรของมินาโมโต)
“อ๊าก!…ไม่” เขาชักดาบคาตานะออกจากปลอกหนังแล้วตวัดมันไปที่ต้นไม้ใหญ่รอบๆเพื่อหวังจะระบายแต่มันยังนิ่งเหมือนจะไม่รู้ตัว แต่เพียงสายลมเบาๆ โชยผ่านพวกมันก็ค่อยๆ ล้มตามกันลงไปเป็นโดมิโน่
“อะนะทะโอะ ไอฌิเทะอิมะซึ…ข้ารักเจ้า…จันทร์หอม ข้ารักเจ้า”
(นางมีสามีอยู่แล้วแต่นางก็ยังสามารถทำให้หัวใจท่านไม่เป็นสุขได้ คุณชาย) พลันสำเนียงอูราคามิก็ดังแทรกขึ้นมาอย่างไม่ทันระวังตัว
“เรียวตะคุง”
“ยามที่นางเดินกุมมือสามี มันก็ยิ่งบั่นทอนความสามารถของชิโนบิ” เรียวตะกระแทกเสียงประชดใส่ มุมปากของเขาแอบเผยอขึ้นลง
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี้” โคทาโร่ถาม
“มีเสียงสื่อบางออย่างรบกวนข้า…และข้าก็สามารถแปลความหมายของมันออก ภาษาอิงะกับภาษาโคงะไม่ต่างกันสักเท่าไรหรอกคุณชาย” เรียวตะพูดเรียบๆ พร้อมกับก้มหัวต่ำ “ต้องขอโทษ แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะได้ยิน”
“หึๆ…ภาษาอิงะ…ข้าลืมมันไปนานแล้ว” โคทาโร่โพล่งขึ้น ดูเหมือนเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจะยังฝั่งลึกจมเข้าไปในความทรงจำเข้าแล้ว “ชิ!…เขาจงใจจะให้ข้าเกลียดไปจนวันตาย…แต่ทำไม….”
“อย่าโกรธข้าเลยคุณชาย ถึงอิงะกับโคงะ จะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่เราทั้งสองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหุบเขานั้นแล้ว หน้าที่เราอยู่กับปัจจุบัน มิใช่สิ่งที่เป็นในอดีต…คุณชายสิ่งที่ข้าได้ยินก็คือ…….”
“พอ…เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วเรียวตะ” โคทาโร่ตัดบท พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอีกหลายครั้ง “ชิ!…” #ยิ่งยามที่นางเดินกุมมือสามี มันก็ยิ่งบั่นทอนความสามารถของชิโนบิ#สำเนียงอูราคามิดังขึ้นในหัวเป็นครั้งที่ 2 เขาจงใจตอกย้ำ…มันยิ่งตอกย้ำให้ความรู้สึกหน่วงลึก จนเจ็บหนาวในอก
“เสียงนั้นบอกข้าว่าเป็นเพราะ…” ไอซึเกะ เรียวตะพยายาม แต่โคทาโร่ก็ยกมือห้ามเอาไว้
“ข้าทวนมันกลับมาเองได้…เจ้าหุบปากซะ…”
“คุณชาย!…”
“เรียวตะคุง!…” โคทาโร่จ้องเครียดเอาจริง
“ข้าขอโทษ ข้าเพียงแต่เจตนาดี มิเคยประสงค์อื่นต่อท่านเลยสักนิด” เรียวตะก้มหัวขอโทษ
“จิตพิรุธก็บอกข้าอย่างนั้น…เรากลับกันเถอะ”
“ข้าจะกลับค่ายอย่างนินจา” สำเนียงอูราคามิของเรียวตะสดใสขึ้นทันที
“แต่ข้าจะกลับอย่างชิโนบิเลือดซามูไร” โคทาโร่พูด เรียวตะส่งความรู้สึกจากข้างในผ่านสายตาให้โคทาโร่เห็น ก่อนทั้งคู่จะดีดตัวสูงไต่ไปตามยอดไม้จนลับตาที่มุมโค้งป่าละเมาะไปอย่างรวดเร็ว
…………
หน้าโรงครัวที่ค่ายทหารตอน 08.00 นาฬิกา
“พ่อนาย…พ่อนาย” เสียงเรไรเรียกโคทาโร่หลายครั้ง กระนั้นเขาก็ยังไม่ได้ยิน จนเด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้าไปเขย่าขากางเกงเบาๆ
(นี้เราเป็นอะไรไป…)โคทาโร่หันไปมองหน้าเรไร เขายิ้มตอบดวงตาที่กำลังส่องประกายอยู่ข้างๆ ในมือน้อยๆ ถือผลไม้สีทองลูกกลมแป้นๆอยู่ 2 ใบกลิ่นของมันหอมแรงจนดึงดูดเขาได้ในทันที
“ลูกจันทร์….จันทร์หอมคะ” เรไรเสียงใสเหมือนจะตอบจากสายตาที่เขาจ้องมันอยู่ โคทาโร่นั่งลงหยิบลูกจันทร์มาดม “จันทร์ หอม รึ…อื้อ!…ข้าชอบกลิ่นนี้ มันทำให้ข้ามีความสุข” เขาเปรยพลางหลับตาพริ้มอยู่กับภวังค์
“ที่บ้านเยอะเลยนาย ถ้าชอบข้าจะให้แม่จันทร์หอมเก็บมาฝากทุกวัน” โมกพูดขึ้นพร้อมกับยืนยิ้มหน้าบานอยู่ข้างๆ ภรรยาตัวเอง
(ทำไม…ข้าถึงพบนางช้าไป…)โคทาโร่อดคิดไม่ได้…(ยามที่นางยิ้ม ข้าจะยอมตายหากนางเอ่ยปากพูด)
“จันทร์หอมกับผมอยากจะขอบคุณ…เรื่องช่วยเรไร เมื่อ 5 วันก่อน” โมกพูด
“ฉัน…ทำแกงส้มมาฝากนายด้วย” จันทร์หอมแทรกพร้อมกับส่งหม้อแกงสีฟ้าให้โคทาโร่ เขาลุกขึ้นรับ ดูเหมือนจะควบคุมตัวเองได้ยากขึ้น
“ข้าเอาไปเก็บให้นาย” โมกอาสารับแก้งหม้อนั้นแล้วเดินหายเข้าไปด้านใน
“ข้าชอบจันทร์หอม…” เสียงละเมอของโคทาโร่หลุดออกมาลอยๆ
“พ่อนายชอบแม่จันทร์หอมเหรอ” และเสียงไร้เดียงสาของเรไรก็ทำเอาทั้งคู่ถึงกับสะดุ้ง
“เอ่อ…ข้าหมายถึง…เอ่อ…ลูกจันทร์” โคทาโร่แก้เก้อแต่ก็หน้าแดงอยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้น…หนูกับแม่จะเอามาให้พ่อนายทุกๆ วัน” เธอพูดต่อพร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงสัญญากลายๆ
“เรไรก็พูดไปเรื่อย…มันออกปีละครั้ง เดี๋ยวฉันจะเก็บมาฝาก…ฉันกลับก่อนนะนาย” พูดจบจันทร์หอมก็จูงแขนเรไรเดินหันหลังจากไปทันที
(แววตาของนางคมกริบยิ่งกว่าดาบคาตานะ มูโตของเจ้าเสียอีก…โคทาโร่….เจ้าจะรักผู้หญิงที่มีแววตาเป็นอาวุธไม่ได้)
“ผู้หญิงที่มีแววตาเป็นอาวุธ”โคทาโร่ทวนประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน…“ผู้หญิงที่มีแววตาเป็นอาวุธ…หึๆ” เขาทวนอีกพร้อมกับเสียงหัวเราะติดอยู่ในลำคอ “ไม่ใช่สำเนียงอูราคามิ…”
“แต่เป็นเสียงของข้าเอง…ฮาๆ” ฮาราชิ จิโระโพล่งขึ้นดังๆ
“จิโระ…เจ้า!”
“ใช่ข้าเองโคทาโร่ เจ้ากำลังยืนเหม่ออยู่นะ…หรือว่าหลงเสน่ห์นางเข้าแล้ว…จะให้ข้าขอนางจากโมกให้ไหมละ…ตอนนี้เขาเป็นเพื่อนซี้กับข้าแล้วนะ” จิโระพูดกวนๆ แต่โคทาโร่กลับไม่เล่นด้วย
“เออ…ข้าขอโทษ คือ…คือ เออ…ข้ากำลังยุ่งมากเลยทีเดียว…ข้าขอตัว” จิโระพูดติดๆ ขัดๆ ขึ้นทันทีที่อ่านสายตาของเพื่อนออก
“เดี๋ยว จิโระคุง”
“เอ่อ!…ข้าติดธุระ ข้าขอโทษเมื่อครู่ ข้าพูดไม่ทันคิด”
“เสียดาย…ข้าว่าจะชวนเจ้าไปชิมแกงส้มฝีมือจันทร์หอมอยู่เชียว” โคทาโร่หันหลังเดินพึมพำเข้าไปในครัว ทำเอา ฮาราชิ จิโระถึงกับตาโตเป็นไข่ห่านต้มพะโล้
“โคทาโร่…โคทาโร่…ว่าอะไรนะ”
“เจ้าติดธุระไม่ใช่เหรอ…”
“เมื่อครู่ติด แต่ตอนนี้ไม่ติดแล้ว…นะๆ ข้าไม่เคยลิ้มลองอาหารไทยเลย…นะมินาโมโตซังนะ” เขาอ้อนจนโคทาโร่หันมายักคิ้วเรียกให้ตามเข้าไป
………
“ผู้หญิงมักจะใช้ความอ่อนหวาน…………….เป็นอาวุธ
สังหารได้………………..แม้กระทั้งซามูไรผู้แข็งกร้าว”
มินาโมโค โคทาโร่
……….
ลางบอก
เดือนกรกฎาคม 1942
ข้างแรมคืนนี้มืดมิดกว่าหลายๆ คืนที่ผ่านมา กลุ่มเมฆฝนเริ่มตั้งเคล้าทางขอบฟ้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ มันไล่กลืนท้องฟ้าที่มืดอยู่ก่อนแล้วอย่างกระหาย ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ในคืนเดือนมืดเมื่อเดือนที่ผ่านมา มินาโมโต โคทาโร่ ก็ยังจมอยู่กับกองเอกสารที่สูงจนท่วมหัวเช่นเดียวกับคืนนั้น แสงสว่างจากหลอดนีออนบนเพดานก็ติดๆ ดับๆ ตามกระแสลมที่กระโชกแรงขึ้นเรื่อยๆ…เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางหยิบลูกจันทร์สีทองขึ้นมาสูดดม ดวงตาเคลิ้มฝันเหมือนคนพึ่งเสพสุข แต่ว่าจู่ๆ…อารมณ์ส่วนหนึ่งของเขาก็เปลี่ยนกะทันหัน เหมือนกับมีบางอย่างมาสะกิดใจให้ตื่น… (จิตพิรุธ)
“ทำไมมันต้องเป็นคืนนี้…” เขาพึมพำขมวดคิ้ว 2 ข้าง เข้าหากันทั้งๆที่ไม่มีเหตุผลอื่น “พวกเจ้าจะเป็นอะไรหรือเปล่า…จันทร์หอม”อาจจะเป็นเพราะสายฝนและลมพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกกระมังที่ทำให้เขาฉุดคิดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาวางลูกจันทร์สีทองทับแผ่นกระดาษแล้วลุกเดินอ้อมโต๊ะไปยืนนิ่งติดกับหน้าต่าง “ยังไม่ 5 ทุ่ม อีกตั้ง 2 ชั่วโมง กว่าที่โมกจะกลับ”เขาพึมพำและถอนหายใจออกมาทางปากจนสุดปอด
“ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน…” หัวใจเขาเริ่มเต้นผิดจังหวะ บางครั้งมันหน่วงลึกจนแทบยืนไม่อยู่ (หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกนางอีก ข้าคงทนไม่ได้ จันทร์หอม…) ยิ่งคิดใจก็ยิ่งร้อนเป็นไฟ
“ข้าต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ…หากไม่ทำอะไรสักอย่าง” เขาพึมพำออกมาอีกพร้อมกับถอดร่างหนึ่งของตัวเองให้นั่งทำงานอยู่ที่เดิมเพื่อหวังจะตบตาเรียวตะ ที่นานๆ จะเดินวนมาใกล้ๆ สักครั้ง และอีกร่างก็ค่อยๆจางลงจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของความมืด (นางจะต้องปลอดภัย…) เขาดีดตัวพาร่างพรางพุ่งออกไปทางหน้าต่าง เม็ดฝนที่กำลังกระหน่ำแยกเป็นทางโดยไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากอุโมงค์อากาศ ปลายเท้าที่ทำงานไม่ต่างกับสปริงพาเขาดีดตัวกับยอดไม้ข้ามเขตค่ายทหารออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อห่างจากค่ายได้สักระยะ แรงลมที่ซัดกระโชกอยู่ตลอดเวลาก็บังคับให้เขาลงมาวิ่งไปตามทางแคบๆที่จันทร์หอมเคยนำทาง ยอดตาลโตนดหลายพันต้นแกว่งไกวพร้อมกับทิ้งก้านใบเก่าให้หลุดปลิวว่อนอยู่เหนือหัว เขาต้องคอยหลบและดีดตัวหนีจากคมก้านที่พร้อมจะสังหาร ในที่สุดเขาก็มาถึงแนวกอไผ่ริมแม่น้ำเพชรบุรีทางเข้าบ้านของนางจนได้ เขาหยุดนิ่งในเงามืดห่างจากบันไดเพียงไม่กี่เมตร แต่ในเวลาเยี่ยงนี้ไม่เหมาะสมแน่หากเขาจะเผยตัวพาร่างที่เปียกโชกขึ้นไปหานาง ยิ่งเมื่อยามที่สามีนางไม่อยู่เข้าแล้วความรู้สึกผิดชั่วก็ยิ่งกินลึก
(พวกนางปลอดภัย…) เขาบอกตัวเองทันทีที่ไม่ปรากฏสิ่งผิดปกติ แต่ก็พาร่างที่ไม่ต่างจากไอน้ำเดินขึ้นบันไดไปหยุดที่หน้าประตูอีก เขาแนบหูกับฝาไม้ที่ตีซ้อนกันเป็นเกล็ด พลันเสียงร้องไห้เบาๆของเรไรก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมา (อย่างน้อยพวกนางก็ปลอดภัย)เขาย้ำกับตัวเองแต่ก็ยังยืนนิ่งจนหายใจได้โล่งขึ้น แต่ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของใครบางคนก็เดินย้ำน้ำฝนที่เจิ่งนองใกล้เข้ามา…ฟังจากความถี่ของฝีเท้าทำให้เขาบอกตัวเองทันที่ว่า…
(โมก) เขาคิดและรีบเหวี่ยงตัวเองลงจากชานระเบียงหลบออกไปทางด้านหลัง
(มันหมดเวลาของข้าแล้วจริงๆ…หึๆ โคทาโร่ เจ้าก็เป็นได้แค่นี้) เขาขบคิดและพยายามควบคุมสติให้นิ่ง แต่มันก็ยากเกินจะทนไหว เขาไม่มีแรงแม้กระทั้งจะดีดตัวขึ้นสู่ยอดไม้เหมือนเช่นทุกครั้ง หมดแรงฮึดทวนกระแสพายุที่กำลังโหมกระโชก (ข้าเจอนางช้าไป)
(เจ้าจะตายกลางสนามรัก ไม่ใช่สนามรบ…โคทาโร่ผู้หญิงที่มีดวงตาเป็นอาวุธจะสังหารเจ้า) พลันเสียงสื่อของใครบางคนที่เขาไม่ปรารถนาจะได้ยินก็ดังขึ้นมาอีก มันเป็นประโยคเดิมๆ ที่เขาพร้อมจะปล่อยมันให้ผ่านออกไปจากความทรงจำครั้งแล้วครั้งเล่า… “ไม่!…”
……….
“แม้ 1 รสรัก………………ต้องแลกกับ 1 ชีวิต
แต่ 1 ล้านผู้ผึ่ง……….ก็ยังถวิลหา 1 นางพญา”
มินาโมโต โคทาโร่
………..
มินาโมโต โคทาโร่เดินห่างจากบ้านของจันทร์หอมมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องไห้ของเรไรเงียบลงทันทีที่เสียงฝีเท้าของคนๆ นั้นเหยียบพื้นไม้จนมีเสียงเอี้ยด…อ้าด และเสียงประตูห้องก็ถูกกระชากออก…มันดังเกินปกติที่จะเป็นสามีของนาง…แต่โคทาโร่ก็ยังไม่เอะใจ
“นางคงจะดีใจ…และรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น” เสียงอู้อี้จนแทบจะไม่เป็นภาษา โคทาโร่ปล่อยให้ลมกระชากร่างของตัวเองเซถลาไปทางนั้นทีทางนี้ที ไม่เหลือมือเพชฌฆาตจากโลกมืด ไม่เหลือผู้ที่สามารถสอบอัครนินจัตสึผ่านตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 12 “รอยยิ้มและแววตาของนางช่างคมกริบยิ่งกว่าดาบคาตานะ…หึๆ หึๆ คุณชายอูคาชิผู้ที่เคยยิ่งใหญ่ในโลกชิโนบิกับทายาทซามูไรตระกูลสุดท้ายในสามมณฑล ใยต้องมาแพ้…” เขาพร่ำยังไม่ทันจบประโยค เสียงกรีดร้องของจันทร์หอมก็ปลุกวิญาณของเพชฌฆาตให้ตื่นขึ้นมาจากความสิ้นหวังเมื่อครู่
#กรี๊ดดดดดดๆ…ช่วยด้วย#
“ข้าพลาดหรือนี้…จิตพิรุธไม่เคยหลอกตัวตน ข้าน่าจะเชื่อลางบอกเสียตั้งแต่แรก” เขาพึมพำก่อนจะดีดตัวลอยกลับไปยืนอยู่บนระเบียงอีก
“ผัวมึงมันทั้งซื่อและโง่…กูจำเป็นต้องบังคับมันด้วยวิธีนี้…ไปกับกูอย่าได้อิดออด” เสียงชายวัยกลางคนดังมาจากข้างใน
“อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลยพี่…”
“มึงไปกับกูเดี๋ยวนี้…เพียงแค่มึงบอกมันให้เลิกเป็นขี้ข้าไอ้ยุ่นเท่านั้น…ถ้าไม่…ฮึๆ” เสียงขู่แข็งกร้าวยังกระแทกใส่ จนเรไรร้องไห้เสียงดัง
“พี่จะทำอะไร”
“กูไม่อยากทำอะไรกับพวกมึงนักหรอก…หากพวกมึงไม่คิดทำตัวเป็นศัตรูกับประเทศเยี่ยงเวลานี้” มันกดเสียงต่ำจนหายไปเป็นช่วงๆ โคทาโร่พร้อมที่จะแทรกตัวเองผ่านประตูที่ปิดไม่สนิทเข้าไปด้านในเพื่อจะช่วยนาง แต่เขาก็ยังอยากรู้จุดประสงค์ของคนพวกนี้ “มึงบอกมันให้ช่วยเปิดทางให้พวกกูเข้าไปจัดการกับเสบียงที่อยู่ในคลังหลังค่ายทหาร…ไม่อย่างนั้นกูจะไม่รับรองความปลอดภัย”
“พี่ดำ!…”เสียงจันทร์หอมอุทานตกใจ
“เราเป็นคนไทย…ศัตรูของเราคือไอ้ยุ่น จำเอาไว้ ศัตรูของเราคือญี่ปุ่นมิใช่อังกฤษ…มึงรีบไปกับกูไวๆ ยิ่งช้าเท่าไรกูก็ไม่รับประกันความปลอดภัยของผัวมึงมากเท่านั้น”
“แล้วลูกฉันละ…” เสียงของเรไรยังร้องไห้ไม่หยุด แต่ฝนที่กำลังตกหนักก็กลบเสียงพวกนางจนหมดสิ้น
“มึงก็อุ้มมันไปด้วยซิวะ”เสียงดุรำคาญจบลงห้วนๆ โคทาโร่ไม่สามารถทนฟังต่อไปได้ เขาดีดตัวขึ้นไปยืนบนขื่อแล้วไต่ข้ามห้องเข้าไปด้านใน ดวงตากระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับแสงสว่างสีเขียวอมเหลืองอีกหลายครั้ง จนสามารถมองเห็นร่างของชายวัยกลางคนกำลังถือมีดยาว 1 ฟุต จ่อที่กลางหลังของจันทร์หอมอย่างชัดเจน หากไม่มีชีวิตของโมกมาเป็นตัวประกัน ชายคนนี้จะไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้กับนาง เป็นเสียงที่เขาคิดจะทำ
“ฉันยอมทุกอย่าง…แต่อย่าทำอะไรฉันกับพี่โมกเลยนะพี่”
“ถ้าคุยกันรู้เรื่อง กูก็ไม่อยากทำพวกมึกนักหรอก เพราะอย่างไรเสียไอ้โมกมันก็เหมือนน้องกู มึงรีบไปได้แล้วอย่าได้พิรี้พิไร”มันขู่พลางเสือกปลายมีดดันหลังจันทร์หอมมากขึ้น จนนางต้องหันไปมองอย่างหวาดกลัว แต่ก็ถูกมันผลักจนเกือบล้มลงไปกับฟูก
……….
## จบ สมรภูมิปักษา4 ##