ความมีน้ำใจแบบฝรั่ง เป็นเช่นไร อ่านได้ใน ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่38 นี้ นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
ฉันกับนางฟ้าตัวกลม ตอนที่38
“วันพี่น้องแห่งจักวาล 1”
หลังจากดื่มดำกับบรรยากาศบ้านเล็กกลางป่าสน เดินเล่นรอบๆ ทะเลสาบที่มีเปลวแดดลามเลียผิวน้ำสีน้ำเงินจนเกิดแสงสะท้อนระยิบระยับราวกับฝูงปลาเกล็ดขาวนับล้านกำลังดีดดิ้นจนถึงจุดสงบ อุณหภูมิที่เย็นเฉียบทำให้ผมกลัว จนเผลอยกเป็นเหตุผลสำคัญบอกลาสวนเฟิร์นสันเขาหรือ Fern Ridge Park ไม่ถึงกับค่ำครวญนัก นางฟ้าตัวกลมเอารถมารับตอนเย็นของอีกวัน พอกลับถึงบ้าน 2 ชั้นสีขาวทรงบาวาเรียนบนถนน88 ผมก็ได้รับเกียติแนะนำไห้รู้จักพี่น้องลูกๆ หลานๆ ของนางฟ้าตัวกลมที่กำลังทยอยมารวมตัวกันจากทั่วแคนาดาและสหรัฐฯ เนื่องในวันแต่งงานของน้องสาวคนเล็กที่จะจัดที่บ้านหลังนี้ในวันรุ่งขึ้นหลังจากผมเดินทางกลับประเทศไทยไปแล้ว ผมถูกขอให้เลื่อนไฟท์เดินออกไปอีกสัก 2 วัน แต่เวลาที่แพลนไว้กับทีมงานที่เมืองไทยไม่ลงตัว ผมมีประชุมกับผู้ประกอบการในเช้าวันรุ่งขึ้น เลยอาสาช่วยงานอย่างเต็มที่ขณะยังอยู่แทน โดยเริ่มต้นจากไปขนเตาแก๊สขนาดสี่หัวและตู้แช่น้ำดื่มใหญ่จากบ้านหลังหนึ่งแถวๆ North Vancouver ซึ่งมันทำให้ผมได้เห็นชีวิตของคนแวนคูเวอร์ในอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ นั้นก็คือ
ความมีน้ำใจแบบฝรั่ง
“ความมีน้ำใจแบบฝรั่ง” ขยายความเฉพาะประเด็นนี้สักนิด ก็ประมาณว่า
: เมื่อบ้านหลังไหนต้องการระบายข้าวของเครื่องใช้ เครื่องเรือน เครื่องไฟฟ้า ที่เป็นส่วนเกินภายในบ้าน พวกเขาจะโพสต์ของสิ่งนั้นบนไทม์ไลน์ของเว็บไซต์ๆ หนึ่งพร้อมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ หากมีคนต้องการจะนำไปใช้งาน พวกเขาจะติดต่อนัดหมายรับและส่งของแบบคนมีวัฒนธรรม อย่างกรณีเตาแก๊สกับตู้แช่ที่เราจะเอามาใช้งานนี้ก็เช่นกัน ก่อนวันงานหลายวันพี่เขยกับพี่สาวของนางฟ้าตัวกลมเข้าไปค้นหาสิ่งของที่ต้องใช้ในเว็บไซต์ เมื่อเจอก็จะติดต่อประสานงานนำรถไปขนและเมื่อใช้งานเสร็จ ก็จะเป็นเอกสิทธิ์ของเจ้าของคนสุดท้ายว่าจะใช้งานต่อไปหรือจะโพสต์ลงไทม์ไลน์เพื่อให้คนอื่นที่ต้องการนำไปใช้งานต่อๆ กันเป็นลูกโซ่ :
จากปากของคนแวนคูเวอร์ที่ผมสัมผัสเรื่องความมีน้ำใจแบบฝรั่งนี้กลายเป็นวัฒนธรรมของคนที่นี้ไปเรียบร้อยแล้วครับ สำหรับบ้านเราคงอีกไกลหากยังมีคนอดมื้อกินมื้ออย่างปัจจุบัน…
“บักหล่าคำแพงก้อนเท่าแคงเอื้อย หลังจากได้พักจนอิ่มคราวนี้เราจะสนุกให้สุดเหวี่ยง OK ไหม”
ผมมองแววตาที่เป็นประกายของนางฟ้าตัวกลม อย่างพินิจพิจารณา “ไปเขียวคิ้วก่อนดีไหมเจ่”
“อีทิมมี่!….ฮาๆๆ ขอตัวแป๊บ!”
“จะขึ้นไปเรียกไอ้เบ็นซ์ไปด้วยกัน”ผมหมายถึงน้องชายคนละแม่ของนางฟ้าตัวกลม มันเป็นลูกครึ่งเอเชีย-ฝรั่งหน้าตาดีจนรู้สึกเพลินเมื่ออยู่ใกล้ๆ
“เออ ดีๆ…..คืนนี้เราจะโสด เราจะซ่าให้สุดเหวี่ยง” หลังจากนางฟ้าตัวกลมเขียนคิ้วจบ เราก็ขับรถมุ่งตรงไปยังตลาดไนท์บาร์ซ่า เราดื่ม เรากิน เราเต้น เราโยก และเราก็จบอาหารเย็นกันที่นี้แบบง่ายๆ ผมได้เสื้อผ้าสำหรับเด็กผู้ชายให้หลานชายคนละ 2 3 ชุด คุยกับแม่ค้าชาวร้อยเอ็ดที่มาเปิดซุ้มขายผัดไทยที่รสชาติย่ำแย่สำหรับผมแต่ดันขายดิบขายดีอย่างไม่น่าเชื่อกับฝรั่งจนรู้ถึงที่มาที่ไป ผมหยดเงิน 10 เหรียญให้น้องศิลปินเด็กข้างถนนเพื่อแลกกับขอถ่ายภาพ 1 ภาพ เรานั่งฟังเพลงแคนาดาคันทรีกระทั้งเกือบจะ 4 ทุ่ม
“นี้พวกเธอ….ได้เวลาละ….ไปกาสิโนเสี่ยงโชคสักหน่อยจะเป็นไร” นางฟ้าตัวกลมพูดภาษาอังกฤษ ไอ้เบ็นซ์มันพูดหรือฟังภาษาไทยไม่ได้เลย ผลลัพธ์จึงมาตกที่ผม แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะไอ้เบ็นซ์เป็นคนพูดช้า ผมสามารถเข้าใจมันได้เพียงรอบเดียว ถึงจะเข้าใจแค่ 80 เปอร์เซ็นต์ ก็มากพอจะเดาตอบได้ว่าจะ “Yes, No หรือ OK.” กับมัน เราเข้ากันได้ง่าย เรื่องอายุ ไอ้เบ็นซ์มันเป็นน้องผมสัก 2 ปี หน้าลูกครึ่งขาวตัวสูงแต่ไม่ถึงกับบึกบึนนะครับ ขอขยายแค่นี้พอเดี๋ยวสาวๆจะน้ำลายไหล…(เอ้!…หรือกุเองวะ 555)
“Let go” นางฟ้าตัวกลมขับรถวนไปวนมาเข้า-ออกถนนหลายเส้นจนผมตาลาย ก่อนนางจะพาเราข้ามสะพานแขวนแม่น้ำเฟรเซอร์ แล้วเลี้ยวเข้าถนน Sea Island way ไม่ไกลนักก็วนขวาเข้าสู่ River Rd. ก่อนจะเลี้ยวเข้ากาสิโนที่ชื่อ “River Rock Casino Resort” อย่างไม่ลังเล
“มาๆ ใครจะลงเล่นกับฉานบ้าง” นางเสนอ
“เอาดิ! คนละ 200 เหรียญ OK รึเปล่า” ผมตามเป็นภาษาอังกฤษรัวๆ เร็วๆ จนตัวเองฟังไม่ทัน แต่ไอ้เบนซ์กับนางฟ้าตัวกลมดันเข้าใจเฉยเลย
นางเหมือนจะปราบปลื้มด้วยซ้ำ “OK OK ได้หรือเสีย 3 ชั่วโมงเรากลับบ้านเลยนะ” นางฟ้าตัวกลมสรุปง่ายๆ สั้นๆ
ครับ…ที่จริงแล้วผมมา River Rock Casino Resort แห่งนี้เป็นครั้งที่ 2 เพราะเป็นกาสิโนไม่ไกลจากสนามบินแวคูเวอร์ วันที่ผมกับแก๊บบี้มาส่งไอ้คุณ เรามีเวลาอยู่ 3 4 ชั่วโมงแก๊บบี้เลยพามาฆ่าเวลาที่นี้ วันนั้นไอ้คุณมือขึ้น มันได้ราว 2000 กว่าเหรียญ มันแบ่งให้ผมกินไอศกรีม 1000 เหรียญ (ก็ราวๆ 2 หมื่นถึง 3 หมื่น) อ้าวๆ จะเข้าแนวชีวิตรัก ขมขื่นๆ อีกรอบละ…จบๆ
นางฟ้าตัวกลมวนรถหาที่จอด เมื่อเรียบร้อยนางก็นำทางเข้ากาสิโนอย่างคนคุ้นทาง แก๊บบี้มันทำงานเป็นคนแจกไพ่ที่นี้ช่วง 1 ทุ่มถึง 4 ทุ่มก่อนจะไปต่อที่อื่น
“บักหล่าคำแพง เวลาเจอแก๊บบี้ห้ามทักทายห้ามเล่นโต๊ะเดียวกับมันนะเธอ มันเป็นกฎของคาสิโนนะ”
“Why” ผมกระแดะใส่ภาษาอังกฤษเสียงสูงจนไอ้เบ็นซ์หันมาหัวเราะ
“กฎก็คือกฎ…..โอ้ยน้อ! โดนจับ ตัวใครตัวมันนะเธอ ฮาๆ”
สรุปคืนนั้นเราได้กำไร 60 เหรียญ นางแบ่งให้ผมพร้อมทุน 220 เหรียญ ให้ไอ้เบ็นซ์ 20 เหรียญเพราะไอ้เบ็นซ์มันไม่ลงหุ่นด้วยและนางก็แบ่งเก็บใส่กระเป๋า 220 เหรียญ เราสนุก เราท้องอิ่ม เราแฮปปี้ ราวๆ ตี 2 เราก็ถึงบ้าน ผมนอนที่โซฟาสีแดงที่เดิม ไอ้เบ็นซ์ขึ้นไปนอนกับพ่อและน้องสาวคนสวยที่ชื่อน้องเมย์ ผมเสียดายยันสว่างที่ไม่ได้ชวนมันให้นอนโซฟาหน้า TV ข้างๆ ด้วยกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นมีพี่น้องมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลานๆ วัยหนุ่มสาวนอนกันเกลื่อนกลาดตามพื้นในห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ลามไปถึงห้องดูหนังฟังเพลงด้านหลัง พี่สาวและครอบครัวจากมินเนโซต้าประเทศสหรัฐ แยกไปนอนที่บ้านพี่หน่องซึ่งไกลออกไปอีก 5 บล็อก ผมโดนปลุกให้ขึ้นไปแนะนำตัวแต่เช้า ทุกคนคุยสนุก คุยไทยสลับอังกฤษจนผมคิดว่ามันเป็นภาษาเดียวกัน เราช่วยกันเตรียมงานเด็กๆ ผู้ชายทำซุ้มดอกไม้ สาวๆ เร่งมือทำของที่ระลึก ผมกับนางฟ้าตัวกลมขับรถไปเอาอาหารเวียดนามที่สั่งไว้มาเพิ่มเป็นระยะๆ พวกเขาสนุก ผมสนุกจนคิดว่าทุกคนที่แวนคูเวอร์คือครอบครัวใหม่ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งนัยยะและพฤตินัยก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
บ่าย 2 โมง 15 นาที เบน เบ็นซ์ ก้อง ผม และน้องชายคนเล็กชื่อโฟร์ก็เอารถเก๋งคันเล็กสีน้ำตาลมุ่งหน้าสู่ชายหาดหินที่ชื่อ “Whte Rock B.C. Canada” ทางใต้ของแลงเลย์ติดประเทศสหรัฐฯ เรากะไปจิบเบียร์ฆ่าเวลาสัก 3-4 ชั่วโมง เสียงเพลงร็อกแรงๆ ดังกระหึ่มตั้งแต่รถยนต์ยังไม่พ้นหน้าบ้าน งานนี้เบนหนุ่มวัย 38 ปีน้องชายคนกลางเป็นคนขับ มันเกิดที่เมืองไทยพออายุได้ 7 ขวบก็ย้ายมาอยู่ที่แวนคูเวอร์ก่อนจะไปทำงานที่ออตตาวาทางภาคตะวันออกเหนือโตรอนโตหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เบนเป็นวิศวกรทำงานบริษัทน้ำมันครับ มันขับรถราวกับนักแข่งอาชีพ เรา 5 คนอัดแน่นอยู่ภายใน เบนกับก้องพอพูดไทยได้บ้าง แต่ต้องใช้เวลาคิดก่อนตอบ
ถนน Kingeorge Bivd
เสียงเพลงร็อกแรงๆ ดังกระหึ่มไปทั้งถนน ทุกคนสนุก ผมถึงกับขนลุกซู่ (กูกลายเป็นจิ๊กโก๋ประจำถนน Kingeorge Bivd ไปแล้วรึนี่) ผมคิดแต่ไม่ใส่ใจ พอถึงเพลงที่เคยฟัง ผมก็จะร่วมแหกปากไปกับพวกเขาอย่างคนกระหาย (ใครสน กูจะกลับประเทศไทยคืนนี้แล้ว) ผมคิดวน ลืมแม่ง! ทุกอย่าง ไม่เหลือไอ้เฮี้ยคุณในหัว ไม่มีไอ้ห่าเดียวร์เนียวคอยรบกวน พอนึกถึงท่านรองรัฐมนตรีเสียงเพลงเก่าๆ คุ้นหูที่ตัวเองชอบก็ดังกระหึ่มขึ้นมา
“Let it be Let it be Let it be Oh! Let it be, Whisper words of wisdom, let it be. ” ผมคลอไปพร้อมกับเพลง Let it Be ของ The Beatles เราแข่งกันแหกปากเสียงดังจนกระทั่งถึง White Rock B.C. Canada ภาพทะเลสีน้ำเงินที่แผ่กว้างสะกดสายตากิ๊กโก๋แห่ง Kingeorge Bivd จนเงียบสนิท เราจอดรถแล้วไต่บันไดหินไปยังสะพานไม้ที่ยื่นลงไปในทะเลกว่า 500 เมตร นกนางนวลสะบัดปีกเหนือหัวตัวแล้วตัวเล่า (อาจจะเป็นนางนวลตัวเดียวกับที่แคมป์เบลล์ริเวอร์ก็ได้) ผมคิด มันบินวนเวียนปะปนไปมากับผู้คนราวอยากได้เศษอาหาร ซึ่งความจริงมันก็เป็นเช่นนั้น ใจผมนิ่งและผ่อนคลายเมื่อมองกลับเข้าหาฝั่งเห็นเมืองสีขาวบนเนินเขาลดระดับเป็นขั้นๆโอบล้อมแผ่ขยายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “มันเป็นเมืองที่งดงามมากๆ” ผมพูดกับเบน มันจึงถ่ายรูปให้ผมหลายรูป
“ชอบ แค นา ดา ไหม?” เบนถามด้วยภาษาไทยช้าๆ
“ชอบนะ…ทั้งเงียบและรู้สึกปลอดภัย” ผมตอบกลับ “และผมก็ชอบที่นี้ด้วย”
“อื้อ…..ไปเถอะ” เบนชวนผมกินเบียร์ ผมตอบ OK แบบไม่ต้องคิด เรานั่งจิบเบียร์ที่ริมหาดหินนาน นานเท่าไร ผมไม่ใส่ใจ ตราบใดที่แสงสุดท้ายยังไม่หมดตราบนั้นเบียร์ในมือก็ต้องถูกเติมให้เต็มอยู่ร่ำไป
……น้ำสีอำพัน ฟองขาว ขาว……
……ฟูล้นขอบแก้วที่สะท้องแสง…….
…….มันทำได้แค่ให้ฉันเมา……
…….แต่ไม่มีสิทธิ์ให้ฉันคิดถึงบางคน…….
…….แดดสุดท้ายสีเดียวกันเหนือ White Rock……
..…..ก็ไม่มีสิทธิ์เหนือหัวใจโลเล…….
……หยุดรบกวนซะที……
……เพราะที่นี้ไม่มี “อนุชาย”……
……สำหรับคุณ เดียร์เนียว……
ถึงจะเดียวดายก็ควรระลึกถึงแสงแรกมากกว่าจะค่ำครวญกับแสงอัสดงเพราะสุดท้ายความน่ากลัวของรัตติกาลจะมาเยือน….
ขอบคุณที่ติดตาม ผม Timmy Buto ขอฟังคลื่นของ White Rock B.C. Canada ให้ใจนิ่งสักพัก….เจอกันโพสต์หน้า บาย บาย