อูคาชิ เซดะ นินจาเลือดซามูไร Part3 กระเรียนหลงฟ้า บทที่6 นิยายอ่านฟรีจบเรื่อง
กระเรียนหลงฟ้า บทที่6
เปิดประชุมนินจา
เวลา 01.15 น. ที่ห้องประชุมลับชั้น 84
เสียงเฮลิคอปเตอร์บินฝ่าความมืดมาแต่ไกล แสงไฟนำทางแหวกฟ้าสีนิลใกล้เข้ามายังลานจอดบนดาดฟ้าชั้น85 มันบินวนอยู่สองรอบเหมือนกำลังเช็คกระแสลม ก่อนจะค่อยหย่อนตัวลงช้าๆ สักครู่ นาธาร ยูกาวา ก็ก้าวลงจากเครื่องพร้อมๆ กับเลขาสาวคนใหม่ที่มาแทนทายาทเพียงคนเดียวของเขา ทันทีที่ทั้งคู่ เดินผ่านประตูเข้าไปในห้องประชุม นินจามากกว่า 50 คนที่รวมตัวกันอยู่ก่อนแล้วต่างยืนขึ้นคำนับ
“นามิจัง…ไปไหน” เขาถามลอยๆ ทันทีที่เห็นเก้าอี้ประจำของเธอยังว่างอยู่
“เธอกำลังเดินทางมาครับท่าน” ชายร่างอ้วนที่สวมแว่นกลมเล็กกระจิดริดที่ชื่อ สึเดโอะ ฮิโยชิ รายงานเรียบๆ แต่แอบซ่อนความเกลียดชังไว้ที่มุมปาก
“เบื่อๆ…ที่ทำงานกับผู้หญิง” นาธาร ยูกาว่า บ่นเสียงต่ำเหมือนไม่อยากให้เลขาสาวที่ตามมาด้วยได้ยิน สักพักเสียงฝีเท้าที่จงใจกระแทกมันให้เกิดเสียงดังเป็นจังหวะ #แต๊บ! แต๊บ! แต๊บ!#ก็ใกล้เข้ามา
“ชิ!…ไม่สมควรเป็นนินจาเลยสักนิด” เสียงบ่นอย่างคนรำคาญดังขึ้นข้างๆ ฮิโยชิ พวกเขาหันไปยิ้มเหยียดๆ ให้กัน มุมปากของฮิโยชิเผยอสั่นระริกตามระดับความเกลียดชังที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
“เธอมาถึงแล้วครับท่าน แต่กำลังคุยกับซูนากะซัง อยู่ด้านนอก” ฮิโยชิรายงานอย่างเสียไม่ได้
“นามิจัง…มาถึงแล้วคะ” และเสียงซูนากะที่นั่งอยู่ข้างประตูบานเลื่อนก็ดังขึ้น หญิงสาวในชุดพลางสีดำเดินเข้ามาทันทีที่ประตูเลื่อนกว้างพอ ดูเหมือนเธอจะไม่ยีหระอะไรกับสายตาทุกคู่ในเวลานั้น เธอยืนนิ่งอยู่ที่หลังเก้าอี้ตัวที่ยังว่างและโค้งคำนับก่อนจะนั่งลงแบบคนใจเย็น โดยมีหางตาของฮิโยชิคอยจับจ้องไม่ยอมลดละ “ชิ!…”
“ขอโทษคะที่มาช้า ดิฉันเพียงแต่อยากจะสัมผัสชีวิตคนธรรมดาที่นั่งรถเมล์ต่อแท็กชี่ ขี่มอเตอร์ไซด์ดูบ้างเท่านั้นเอง” เธอพูดลอยหน้าลอยตา พร้อมกับตวัดหางตาไปหยุดอยู่ที่ฮิโยชิเหมือนรู้ทันในพฤติกรรมของเขา
“เอาละ…เอาละไม่ต้องสาธยายมากเรื่อง…ในเมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว เริ่มประชุมกันเลยดีกว่า เรามีเวลากันอีกแค่ 3 เดือน หากช้าไปกว่านี้ พวก มินาโมโต ต้องได้ตัวเขาพร้อมกับดาบคาตานะ มูโตอย่างแน่นอน ต่อจากนี้ไปทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา สืบให้แน่ชัด ถ้าเขามีดาบเล่มนั้นอยู่ในมือจริงๆ เราต้องชิงตัวเขามา แต่อย่าลืมว่าหากเขามีพรสวรรค์พิเศษเยี่ยงชิโนบิ…เขาก็คือสมบัติโดยชอบธรรมของเราด้วย…” นาธารพูดยาว…เขาพยักหน้าย้ำถึงเป้าหมาย ทุกคนพยักหน้าตอบรับ
“วันๆ เขาเอาแต่นั่งขลุกในห้องสมุด ดิฉันคิดว่าเราน่าจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อลดจำนวนคนลง และเพิ่มบททดสอบใหม่ให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ” ไอซึเกะ นามิ เสนอ พร้อมกับยกถ้วยกาแฟที่ซูนากะเพิ่งนำเข้ามาให้ดื่มอย่างใจเย็นอีก
“แล้ว คุณมีแผนอะไร…แต่ขอย้ำนะ หากเขามีพรสวรรค์พิเศษนั้นจริงๆ จิตพิรุธในตัวเขาจะไวกว่าลิ้นงูเป็น 1000 เท่า” นาธารแนะต่อพร้อมกับหันไปกระซิบอะไรบางอย่างกับเลขาคนใหม่ที่นั่งนิ่งอยู่ด้านหลัง
“ดิฉันมีวิธี” ไอซึเกะ นามิ เสนอ
“ทำไม…ไม่ชิงตัวเขามา พิสูจน์เองซะเลยละ…จะได้ไม่เสียเวลา” ชายในชุดพลางสีดำที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับ ไอซึเกะ นามิ ชิงแทรกแบบกวนๆ
“โซจิคุง…กินเนื้อเพิ่มความฉลาดบ้างก็ได้นะ การจำใจกินแต่พืชเพื่อลดกลิ่นตัวเพียงอย่างเดียวนะ มันไม่ทำให้สมองแกฉลาดขึ้นมาหรอก…อย่าลืมซิว่า ถ้าเขามีพรสวรรค์พิเศษเยี่ยงชิโนบิจริงๆ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และอีกอย่างอย่าเอาเขามาเทียบกับคนที่เกิดจากสายเลือดบริสุทธิ์แต่กลับถอดร่างได้ไม่ถึง 3 ตน” สึเดโอะ ฮิโยชิ กดเสียงต่ำในประโยคสุดท้าย พลางชายตาไปหยุดที่เป้าหมาย
“ใช่จ้ะ…โซจิคุง…คุณต้องกินเนื้อเพื่อเพิ่มความฉลาดบ้าง…แต่ต้องเลือกกินหน่อยนะ…อย่ากินเฉพาะหมู 3 ชั้น เดี๋ยวจะโผตามลมไม่ไหวเหมือนกับพวกเลือดบริสุทธิ์บางคน” ไอซึเกะ นามิ สวนกลับบ้าง
“นามิจัง!”
“อะไร…ไอ้หมูเน่าใส่แว่น!”
“พอๆ กันทั้งสองคน…หยุดได้แล้ว…เราต้องให้เขายอมรับเราและรักความเป็นชิโนบิที่เกิดมาพร้อมๆ กับเขา” นาธาร ยูกาว่า หยุดคนทั้งคู่ พลางชี้แนะแต่ก็ไม่วายจะหันไปยักคิ้วให้กับฮิโยชิอย่างรู้กัน
“นี้เราจะให้ไอ้เด็กที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจูงจมูกอย่างนั้นหรือ”
“ผมว่าเราคุยเรื่องนี้จบตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นแล้วนะ” นาธารเริ่มเสียงขุ่น…เขาเงียบสักครู่เหมือนรอให้อารมณ์ที่กำลังครุเป็นไฟเย็นลง “การมาเมืองไทยครั้งนี้ถึงแม้จะเสียลูกชายไป แต่ผมจะใช้สถานการณ์นี้สร้างองค์กรขึ้นสู่ระดับโลก…บารุคุงจะต้องไม่ตายฟรี”
“ถ้าอย่างนั้น…คุณก็ควร…”
“พอๆ…เรามีเวลาเพียง 3 เดือนก่อนงานแสดงเพชรจากทั่วโลก…หากเด็กคนนั้นใช่ งานเราก็จะง่ายขึ้นและอาจจะง่ายกว่ากินซูชิผสมลาเม็งเสียอีก…หรือพวกคุณไม่อยากครอบครองเพชรอะโอะอิสีน้ำเงินที่ชื่อ หัวใจราชินี และไม่อยากเห็นดาบคาตานะ มูโตที่รัฐบาลญี่ปุ่นให้ราคาแพงยิ่งกว่า เกาะยะกุ” นาธารสรุปพร้อมกับยิ้มลอยๆ เหมือนคนกำลังตกอยู่ในความฝัน
“ฮึๆ…อำนาจของเพชรอะโอะอิสีน้ำเงินจะเข้ามาเสริมพลังของเราให้แกร่งขึ้น…มันคือพรวิเศษจากสวรรค์ชัดๆ…ขอเพียงทุกคนรวมหัวใจเป็นหนึ่งเดียว…แล้วเราจะได้นั่งจิบไวส์บนเกาะยะกุทางใต้ด้วยกัน…ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า ทุกคน” นาธารปลุกไฟปรารถนา สักพัก “หึ หึ….ฮา ฮ่า ฮ้า ฮา…”
“เอาละ ค่ำคืนแห่งดวงดาวกำลังรอเราอยู่ ขอให้ทุกคนหลับฝันดี…เจอกันอีกครั้งตามหมายแจ้ง” นาธารพูดปิดท้ายก่อนจะลุกเดินออกจากห้องนั้นไปพร้อมกับเลขาสาว
เสียงเฮลิคอปเตอร์ดังไกลออกไปจนทุกอย่างตกอยู่ในความวังเวง แสงไฟบนยอดตึกอาคารสูงดับลงทีละดวง คงเหลือแต่ไฟกระพริบสีแดง ที่เป็นสัญญาณบอกตำแหน่งของยอดตึก…03.35 น. ไอซึเกะ นามิ ทิ้งตัวลงจากระเบียงชั้น 84 ก่อนจะโผทะยานหายไปดังนกรัตติกาล แต่เธอก็ยังร้องเพลงใส่คู่กัดอย่างไม่ยอมลงให้ง่ายๆ
“ไอ้หมูเน่าใส่แว่น…ไอ้หมูเน่าใส่แว่น…ไอ้หมูเน่าใส่แว่น”
“นา นามิจัง…นังปิศาจ”
……….
“……….อย่างพึ่งจิบไวท์ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ล้างปาก
เพราะว่ารสชาติอาจจะเปลี่ยนเป็นสาเกก้นถัง”
นาธาร ยูกาว่า
………..
บททดสอบที่ 2
เป็นเวลาหลายเดือนกับการพยายามค้นหาชื่อแปลกๆ ในเสียงเพรียกปริศนาจากชายชราในชุดกิโมโนสีขาว “อูคาชิ เซดะ” เป็นใครและทำไมถึงรู้สึกว่าเหมือนกับมันอยู่ใกล้ๆ เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสถึงอย่างนั้น
(ทุกปริศนาจะถูกฝังอยู่ในใจ…เจ้าจะได้คำตอบจากประสบการณ์จริงด้วยตัวของเจ้าเอง… ) และเสียงแนะกึ่งทัดทานก็ดังขึ้นจากความทรงจำทุกครั้งที่เขาพยายามหาคำตอบ
“อูคาชิ เซดะ คุณเป็นใคร…รอคอยการกลับมาของเจ้ามากว่า 63 ปี” ดาบไผ่นั่งบ่นงึมงำคนเดียวในขณะที่กองหนังสือสูงเกือบท่วมหัวในห้องสมุด
“63 ปีเหรอ…ปีนี้ 2551 หากนับย้อนกลับไปก็แสดงว่าเป็นปี พ.ศ.2488” ต้องตะวันแทรกจากฝั่งตรงข้าม
“ปี 1945 เหรอ เออทำไมเราไม่นึกถึงเรื่องนี้ ปีนั้นสงครามมหาเอเชียบูรพาหรือสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงพอดี” ดาบไผ่ทวนตามคำพูดของเพื่อน
“อูคาชิ เซดะ…ชายชราในชุดกิโมโนสีขาว ทุกอย่างมันต้องเกี่ยวกับสงครามมหาเอเชียบูรพาและประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอน” ต้องตะวันสรุปและย้ำความมั่นใจด้วยการพยักหน้ายืนยันอีกที
“ใช่…มันน่าจะเป็นอย่างนั้น” ดาบไผ่ตอบสั้นๆแล้วทั้งคู่ก็หันไปวุ่นวายกับรายงานและกองหนังสือตรงหน้า สักพักดาบไผ่ก็ชะงักและหลงเข้าไปในความทรงจำของตัวเองอีกครั้ง
(อูคาชิ เซดะ ) เสียงสื่อเรียกชื่อซ้ำๆ ซากๆ จนจำมันได้ขึ้นใจ…รอยยิ้มที่เต็มเปรี่ยมไปด้วยมิตรภาพแสนจะอบอุ่นของชายชราในชุดกิโมโนสีขาว สำเนียงแปร่งๆ ยังดังก้องไปทุกๆ โสตประสาท ใช่…มันคือคลื่นเสียงที่เรียกว่ากระแสจิต (ข้าจะปลุกเจ้าให้ตื่นเพื่อเผชิญหน้ากับมัน) และเสียงเหล่านั้นก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น…“ใช่มั่นใจมากขึ้นด้วย”
: คลื่นเสียงในระยะไกล แต่ได้ยินชัดเจนในหัว
: แยกเสียงที่ไม่พึงปรารถนาออกได้
: แยกเสียงความเคลื่อนไหวของนินจาที่โผจากเงาสู่เงา
: เกลียดมันยิ่งกว่าปลิงลมสันดานหนอน
: มองเห็นทุกอย่างในความมืดเป็นสีเขียวอมเหลือง
: “ข้าจะปลุกให้เจ้าตื่นขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับมัน”
“ไผ่เสร็จหรือยัง” และเป็นเสียงของต้องตะวันที่ปลุกเขาตื่นจากภวังค์
“เออๆ…เหลือแต่ป้อนข้อมูลนิดหน่อย” เขาตอบหน่ายๆ
เวลานี้เรื่องราวประหลาดกับปริศนาที่พอกพูนขึ้นมากำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า ยิ่งนาน…นับวันพวกปลิงลมสันดานหนอนก็ยิ่งรุกเขาหนักมากขึ้น
ดาบไผ่ลุกอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินหายเข้าไปในซอกของตู้หนังสือประวัติศาสตร์ เขาถือหนังสือสีน้ำตาลขุ่นกลับมา สาม สี่เล่ม โดยมีสายตาของไหมจีนกับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่กำลังยืนยิ้มให้อยู่หน้าประตู เขายิ้มตอบบางๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงที่เดิม
“ไหมจีน…” ดาบไผ่กระซิบต้องตะวันที่ขลุกอยู่กับงานหน้าคอมพิวเตอร์
“ไหน…” เขาถาม ดาบไผ่ใช้สายตาบอก ไหมจีนยกมือทักทายและเธอก็เดินจากไปพร้อมเพื่อนๆ ต้องตะวันได้แต่มองตามอย่างลอยๆ และรายงานที่ยังไม่เสร็จก็ดึงเขาให้กลับมาจุดเดิม แต่หนังสือที่ดาบไผ่เพิ่งจะวางลงก็ดึงความสนใจของเขาได้อีกทางหนึ่ง
“อูคาชิ เซดะ…ปี 2488 สงครามโลกครั้งที่ 2 ปิดฉากลง หรือว่าเขาจะเป็นทหารญี่ปุ่น…เป็นทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 บางที่เขาอาจจะเป็นเออ…น้องชายของ โกโบริ ในคู่กรรมก็ได้นะโว้ย” ต้องตะวันพูดไปเรื่อย
“ไม่มี นี้ก็ไม่เกี่ยว…เล่มนี้ก็ไม่ใช่…เล่มนี้ก็เป็นหนังสือสัญญาที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามเพรียวๆ” ดาบไผ่พึมพำ
“อะไรของเค้าวะ…”
ในขณะที่เขากำลังหยิบหนังสือ “เหตุเกิดในสงคราม มหาเอเชียบูรพา” ของ โรม บุนนาค (อยู่นั้น) เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาจนผิดวิสัยประกอบกับกลิ่นสาบของนินจา 2 คนก็ลอยเข้าแตะจมูกระยะใกล้ ที่สำคัญพวกมันได้รุกคืบเข้ามาอยู่ในห้องสมุดด้วยแล้วเวลานี้ ดาบไผ่หันขวับไปดูนินจาที่เฝ้าตามติดเขาอยู่ที่ด้านนอก พวกมันยังติดนิ่งเป็นตุ๊กแกสีขาวที่เดิม
(ทางซ้าย) จิตพิรุธแจ้งตำแหน่ง หนังสือในมือถูกยัดไว้ที่เดิม เขากระโจนหลบอีกทางเมื่อเสียงฝีเท้านั้นดังใกล้เข้ามาพลางลดระยะลมหายใจเข้าออกให้ยาวขึ้นเพื่อหวังจะลดเสียงและแนบแผ่นหลังเข้ากับตู้หนังสือชั้นในสุด ปล่อยตัวเบาโหวงตามสัญชาตญาณบอก เสียงฝีเท้ามาหยุดนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่มีเพียงหนังสือกั้น
(ขอเห็นหน้าชัดๆ…หน่อยเถอะ) เขาคิดและค่อยๆ ดึงหนังสือที่กั้นออกให้พ้นทาง แต่แล้วรุ่นน้องนักศึกษาหญิงปี 1 ร่างอ้วนกลมก็เดินเลี้ยวมุมตรงเข้ามาหยุดในตำแหน่งที่เขายืนอยู่พอดี เธอนิ่งอยู่ต่อหน้าเหมือนมองไม่เห็นเขาพร้อมๆ กับดึงหนังสือในมือไปเฉยๆ และเธอก็ยังก้มลงค้นหารายชื่อหนังสืออีเล่มใต้วงแขวนและระหว่างขา
(เอะ!…ยายนี้ไม่เห็นเราจริงๆ รึแกล้ง) ดาบไผ่อดแปลกใจไม่ได้ แต่อีกคนที่อยู่อีกฝั่งก็น่าสนใจ เขาพยายามแนบสายตาให้ชิดกับช่องว่างแต่แล้วอยู่ๆมือที่กำลังหอบหนังสือของน้องปี 1 ก็ชนเข้ากับต้นแขนของเขาจนหนังสือหล่นกระจายเต็มพื้น
ตุบ!
“ว้าย!…” เธอกรีดร้องเป็นหมูสะดุ้ง ใบหน้ากลมๆ ซีดขาวเป็นซาลาเปาค้างปี เธอมองซ้ายทีขวาทีเหมือนสติได้วิ่งนำพุงพุ้ยๆ ไปไกลแล้ว “กรี๊ด!” เธอกรีดร้องยาวก่อนจะวิ่งออกจากมุมนั้นไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเสียงฝีเท้าของนินจาก็โผทะยานออกจากที่ซ่อนแยกไปอีกทาง เขาเหวียงตัวจากมุมอับกระโจนตาม แต่เงาสีดำคล้ายควันจากท่อไอเสียรถยนต์ก็ลอยวูบวาบผ่านตู้หนังสือ ผ่านเคาน์เตอร์อาจารย์บรรณารักษ์ที่กำลังตกตะลึงกับน้องอ้วนกลม และวูบผ่านบอดี้การ์ด 2 คนที่ยืนอยู่หน้าห้องหายไปอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้นกับยายหมูสามช่าวะ” ต้องตะวันกระหืดกระหอบเข้ามาถาม
“นินจา” ดาบไผ่บอก
ต้องตะวันเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า นี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่สัมผัสมันในระยะประชิด “นิน…จา…”
“สถานการณ์ไม่ค่อยดี…เรากลับดีกว่า” ดาบไผ่กระซิบ…พลางใบ้ด้วยสายตาบอกอีกที…“และด้านนอกก็มีพวกปลิงลมสันดานหนอนอยู่เต็มไปหมด” ทั้งคู่ปิดคอมพิวเตอร์และรวบเอกสารที่กองอยู่ตรงนั้นแล้วเร่งฝีเท้าออกจากห้องไป
“5-4-3” ดาบไผ่บอกรหัสกับบอรดี้การ์ดที่ยืนรออยู่ พวกเขากระจายตัวกันออกไปตามคำสั่งเร่งเดินประกบหน้าหลังของคนทั้งคู่ อลันนำพวกเขาพร้อมกับเอามือกุมไว้ในตำแหน่งด้ามปืนที่ซ่อนอยู่ข้างในเสื้อสูทอย่างคนระวังตัว
“คุณชายไป” บอดี้การ์ดดึงเอกสารและคอมพิวเตอร์จากมือไป เสียงออกคำสั่งไล่ตามหลังมาเป็นระยะๆ
“ในเขตมหาวิทยาลัย อย่า” อลันตะโกนห้ามทันทีที่บอดี้การ์ดคนหนึ่งกำลังจะชักปืน เหล่านักศึกษาที่อยู่แถวนั้นต่างกรีดร้องเสียงหลง วิ่งหนีไปคนละทางสองทางเมื่อร่างในเงาสีดำได้ปรากฏชัดและโผตามพวกเขาไปติดๆ พวกมันไล่วนไปมาเหมือนจะต้อนพวกเขาให้จนมุม
“ต่อไป อย่าหยุดเป็นเป้านิ่ง” เสียงคำสั่งดังมาจากด้านหลัง เขาและต้องตะวันต่างเร่งฝีเท้าตามอลันลงบันได
“ระวังซ้ายสาม ขวาสาม หน้าสอง หลังสอง”
#เตรียมรถไว้หน้าตึก อีกสามนาที# อลันกรอกเสียงผ่านไมล์ตัวจิ๋ว
#รับทราบ# เสียงตอบกลับมายิ่งทำให้พวกเขาเร่งความเร็วมากขึ้น แต่ทันใดนั้นร่างในเงาสีดำก็โผแทรกเข้ามากลางวงเพื่อหวังปฏิบัติการอะไรบางอย่าง
“อย่าใช้ปืนในเขตมหาวิทยาลัย” ต้องตะวันตะโกนห้ามอีกคน แต่ดาบไผ่เห็นมันก่อน เขาใช้ความเร็วกระโดดถีบกลางอากาศตามสัญชาตญาณ
ปร๊าก! มันเข้าที่ใบหน้าจนส่งมันลอยกลับไปล้มกลิ้งเป็นลูกบอลอยู่กลางสนามหญ้าสีเขียวข้างสวนปาล์ม นักศึกษาที่กระจายอยู่แถวนั้นกรีดร้องเสียงหลงขึ้นอีกกลุ่ม “กรี๊ด!…”
“ต่อไป อย่าหยุด” ดาบไผ่ตะโกนสั่ง บอดี้การ์ด 4 คนที่รั้งท้ายช่วยกันจัดการกับนินจาที่เผยตัวอีก 2 คน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก มันทิ้งเงาพาดเป็นทางยาวข้ามไปข้ามมา
#แสตนบาย# อลันกรอกเสียงสั่ง บอดี้การ์ดที่เดินนำหน้า สามคนนำพวกเขาเลี้ยวซ้ายตรงไปยังตู้กระจกสีบลอนและรถเบนซ์สีดำสองคันก็จอดติดเครื่องรออยู่แล้ว อลันและบอดี้การ์ดเปิดประตูรถให้คนทั้งสอง ก่อนพวกเขาจะเข้าไปนั่งประจำตำแหน่ง
#ออกรถ 10-120 ระวังหลัง# อลันใช้มือแตะลำโพงที่หูข้างหนึ่งสั่งเป็นรหัสที่รู้กันในกลุ่ม รถตู้ทะยานออกไปด้วยความเร็ว120กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยทิ้งระยะไว้ที่10 เมตรต่อคัน เงาสีดำรางๆของนินจาไม่ต่ำกว่า 20 คนก็ไล่ขนานไปตามถนนอย่างไม่ยอมลดละ แต่สุดท้ายพวกมันก็หายไปทันทีที่ออกสู่ถนนใหญ่ด้านบึงสระบัว
“คุณป๋าพูดถูกแม่และน้องสาวถูกลักพาตัวไปท่ามกลางตำรวจอารักขาทั้งโรงพักเพราะเหตุนี้เอง” ต้องตะวันพูดเมื่อสติกลับเข้าที่
“อื้อ…มันเร็วมาก”
“พวกปิศาจชัดๆ…” อลันที่นั่งอยู่เบาะหน้าคู่กับคนขับหันมาแสดงความคิดเห็นบ้าง เขายิ้มแหย่ๆ พลางถอนหายใจออกมาอย่างคนโล่งอก
“ขอบใจมากคุณชายธารารักษ์” เขาพูดเสียงต่ำ
“เมื่อครู่นายทำได้ไง…กระโดดถีบชะมันล้มเป็นหินคลุกไปเลย” ต้องตะวันถาม “วู้!…เหนื่อยชะมัด”
“สัญชาตญาณบอก…”
“เหรอ!…” ต้องตะวันเหวอใส่…พลางใช้หางตามองเขา “เก่งนะเนี้ย…แต่คราวหน้าไม่เอาอีกแล้วนะ…ฉันเหนื่อยโคตรๆ”
……….
“พุ่งทะยานไกลในสายลม……….เหินหาวเท่าใจปรารถนา
โอ้เจ้านกไร้ปีกแห่งข้า………………. เทียวโผถลาเริงลม”
ดาบไผ่ ธารารักษ์
……….
จบ กระเรียนหลงฟ้า6 (บทที่6)