AI หุ่นอัจฉริยะ

AI หุ่นอัจฉริยะ

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI หุ่นอัจฉริยะ คิดบวกความสุขในมุมเล็กๆ

AI หุ่นอัจฉริยะ

หากอยากเห็นอนาคตว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด  ก็จงมองย้อนกลับไปในอดีต ไม่ต้องไกลมาก…เอาแค่ช่วงชีวิตที่ตัวเองจำได้ก็น่าจะพอ…สัก 10 หรือ 20 ปี…นึกให้เห็นวิวัฒนาการของสมัยนั้นแล้วนำมาเปรียบเทียบกับเทคโนโลยี่ยุคปัจจุบัน คุณจะพอเดาทางออกว่า…อนาคตอีก 10 หรือ 20 ปี ข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนไปเช่นไร…ตัวคุณจะอยู่ตรงไหน…ลูก-หลานที่กำลังจะโตเป็นมนุษย์ในอนาคต เขาและเธอจำเป็นต้องเรียนรู้อะไร วิชาที่เปิดสอนในมหาวิทยาลัยปัจจุบัน สาขา-แผนก-ภาควิชาไหนบ้างกำลังจะตกยุคเช่นเดียวกับกับฟิล์มสีฟูจิ โกดักและบริษัทมือถือยักใหญ่เหมือนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอน AI –หุ่นอัจฉริยะ….เป็นบทความที่อาจจะมาช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ…ถ้าคุณยังไม่พร้อมจะเปิดสมองรับรู้…จงจ้องหน้าลูกสาว-ลูกชาย-หลานสาว-หลานชายที่กำลังจะโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตแล้วถามกลับตัวเองว่า….พวกเขาหรือเธอเหล่านั้นสมควรจะมีชีวิตอยู่แบบขยะแห่งอนาคตหรือผู้นำของโลกยุคใหม่กันแน่

มา!…Timmy จะเสนอมุมมอง-วิธีคิดในแบบของตัวเองให้ได้อ่านกัน ซึ่งมันอาจจะผิด-ถูก คุณ คุณ ท่าน ท่าน จะต้องเก็บไปทบทวนด้วยตัวเองนะครับ

AI หรือ Artificial Intelligence หากแปลเป็นภาษาไทยตรงตัวก็หมายความว่า “ปัญญาประดิษฐ์” นะครับ หลายบริษัทชั้นนำของโลกขยับ-ปรับตัวเองในเรื่องดังกล่าวมานานพอสมควรแล้ว เช่น Microsoft, Google, Facebook, HUAWEI หรือ Apple ฯลฯ และอีกหลายประเทศหลายองค์กรกำลังตระหนักถึงเรื่องนี้ บางมหาวิทยาลัยในต่างประเทศมีการเปิดตัวภาควิชาแปลกๆที่ไม่เคยรู้จัก… เราต้องตั้งคำถามว่าพวกเขาเห็นอะไร…หากยังไม่ขยับความคิด การเฉยเมยก็เท่ากับถอยหลังรอวันเป็นขยะของโลกอนาคตอย่างสมบูรณ์แบบ….แน่นอน

AI (Artificial Intelligence) หากแบ่งตามความสามารถของมนุษย์ที่ต้องการจะให้เป็น ก็แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้

  1. ระบบที่คิดเหมือนมนุษย์ (Systems that think like humans)
  2. ระบบที่กระทำเหมือนมนุษย์ (Systems that act like humans)
  3. ระบบที่คิดอย่างมีเหตุผล (Systems that think rationally)
  4. ระบบที่กระทำอย่างมีเหตุผล (System that act rationally)

ในบทความแรกผมไม่อยากลง Detail ลึก เอาเป็นว่าเรามาย้อนนึกร่วมกัน-กลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วกันดีกว่านะครับว่า วิวัฒนาการ-เทคโนโลยี่ที่ว่าล้ำสมัยในเวลานั้นมีอะไรบ้าง แน่นอนหลายคนต้องนึกถึงระบบสื่อสาร 20 ปีก่อนโทรศัพท์มือถือหายากมากๆ จะมีใช้ก็เฉพาะ บุคคลหรือองค์กรสำคัญๆ มีเงินมีทองเท่านั้น… และโทรศัพท์มือถือสมัยนั้นก็ไม่ใช่เครื่องเล็กๆอย่างปัจจุบัน ผมจำได้สถาปนิกทำงานด้วยกันซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกเป็นโทรศัพท์ยี่ห้อโนเกียร์เครื่องใหญ่กว่าสากตำพริกแต่ก็ถือว่าเท่สุดๆ…ผ่านมาไม่กี่ปีบริษัทโมโตโลล่าก็นำโทรศัพท์รุ่นใหญ่กว่าฝ่ามือนิดหน่อย หนาพอๆกับผลส้มออกมาวางตลาดถือได้ว่าเป็นโทรศัพท์มือถือที่เล็กสุด… ส่วนราคาไม่ต้องพูดถึง ต่ำๆ แสนอัพ

เวลานั้นเรายังคิดกันขำๆ…ตลกๆ ประมาณว่า….หากวันหนึ่งข้างหน้า-ชาวนา-ชาวไร่มีโทรศัพท์มือถือใช้ และได้โทรสั่งภรรยาให้เอาเคียวเอาจอบไปให้คงเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์และวันนี้ เรื่องตลกในอดีตก็กลายมาเป็นเรื่องจริง จากโทรศัพท์มือถือที่ใช้โทรเข้า-โทรออกธรรมดา กลายมาเป็นทุกสิ่ง-ทุกอย่างในชีวิต มี AI-ปัญญาประดิษฐ์มากมายอยู่ในโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว ทั้งดูหนัง-ฟังเพลง-ระบบงาน-ระบบการเงิน-และอื่นๆ อีกมากมายครบถ้วน นี้ขนาดไม่กี่ปี…หลายสายงาน หลายๆ อาชีพที่มีเรียนมีสอนในมหาวิทยาลัยกำลังจะถูกโละทิ้ง…ตัวอย่างเช่น เลขานุการ-บัญชี-การเงิน- จะไม่จำเป็นอีกต่อไป….

คราวนี้เรามาช่วยกันวาดภาพอนาคตกันเล่นๆ บ้างนะครับ ว่าโลกเรา- บ้านเรา -ครอบครัวเรา -ลูกหลานเรา จะอยู่ในจุดไหน ภาควิชาที่ล้าสมัยในมหาวิทยาลัยสมควรจะยังมีต่อไปหรือไม่นะครับ

ถ้าสังเกตดีๆ AI หุ่นอัจฉริยะ หุ่นยนต์ที่เสมือนมนุษย์เริ่มถูกบริษัทผู้ผลิตนำออกโชว์-ออกสู่ท้องตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งค่ายรถยนต์ –หุ่นยนต์แม่บ้าน-หุ่นยนต์ทำความสะอาด- หุ่นยนต์ประชาสัมพันธ์ -ตอนรับ -บอร์ดี้การ์ดเป็นต้น…นี้ เฉพาะเวลาปัจจุบัน AI หุ่นอัจฉริยะก็ยังเข้ามาแย่งงานมนุษย์ไปแล้วหลายวิชาชีพ

คอมพิวเตอร์-หุ่นยนต์คำนวณ-ประมวลผล-บัญชี-เหล่านี้จะทำให้วิศวกร-นักบัญชี-การเงิน-ในอนาคตตกงาน 100%

และคุณเคยดูหนัง HOLLYWOOD ไหม?… หลายเรื่องนำเสนอภาพในอนาคตซึ่งก็เกิดจากความคิด-จินตนาการ-แบบเราๆ ที่กำลังนั่งอ่านบทความ-ช่วยกันวาดภาพอนาคตของใครของมันอยู่ในเวลานี้…และวิชาชีพหนึ่งที่หนัง HOLLYWOOD นำเสนอให้ผมเห็นชัดเจนนั้นก็คือ “วิชาชีพแพทย์” หรือคุณหมอที่เรารู้จัก…ส่วนตัว..คาดว่าอีกไม่ถึง 5 หรือ 6 ปีข้างหน้า AI เตียงคุณหมอต้องมีออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน หมายความว่า…เตียงๆ หนึ่งมีระบบตรวจ-เอกซเรย์-ประมวลผล-ผ่าตัด-รักษา-ฟื้นฟู จบในเวลาและที่เดียว…นั้นก็หมายถึงวิชาชีพแพทย์จะเป็นอีกวิชาหนึ่งที่สุ่มเสียงจะตกงาน

คราวนี้เราบุกเข้าไปสำรวจในโรงงานกันบ้างนะครับ….โรงงานผลิตรถยนต์ในปัจจุบันหลายแห่งมีการนำหุ่นยนต์ AI เข้าไปทำงานแทนมนุษย์ บางค่าย -บางโรงงานมีการหันไปใช้ AI หุ่นอัจฉริยะเกือบ 100% หากมองข้ามสู่อนาคต โรงงานเหล่านี้อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานที่เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ….แน่นอนวิศวกร-แรงงานต้องตกงานตามไปอีกแขนงหนึ่ง

แล้วโรงงานอื่นละ….AI หุ่นอัจฉริยะก็จะค่อยๆ แทรกเข้ามามีอิทธิพลที่ละน้อย และคาดว่าอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า ต้องมีมนุษย์คิดค้นและประดิษฐ์สมองกลแทนมนุษย์อย่างเราๆ ได้อย่างแน่นอน และเมื่อวันนั้นมาถึง ใครก็ตามที่มัวแต่เฉย ไม่ขยับ ไม่ก้าว เตรียมตัวเป็นขยะแห่งอนาคตได้เลย

OK….กลับมายืนอยู่เวลาปัจจุบัน…กลางเดือนมกราคม 2562…ถามตัวเองบอกตัวเองดังๆ ว่า คุณอายุเท่าไร อีก 20 ปีข้างหน้าคุณจะมีอายุเท่าไร….แล้วลูกๆ หลานๆ ที่กำลังเรียนกำลังศึกษาในโรงเรียนระดับอนุบาล ประถมฯ มัธยมฯ หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยละ พวกเขากำลังเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรกันบ้าง…ผมต้องคิดเผื่อหลานชายหลานสาว คุณก็ต้องคิดเผื่อลูก เผื่อหลาน เผื่อตัวคุณเองเช่นกันว่าจะไปยืนอยู่ตรงไหน….OK AI  หุ่นอัจฉริยะ อีก 20 ปีข้างหน้าไม่มีทางคิดหรือออกแบบงานสร้างสรรค์ได้เองอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นหากลูกหลานกำลังเรียน-ศึกษาเกี่ยวข้องสาขาภาควิชาที่ว่าด้วยงานออกแบบ – สร้างสรรค์ – คลีเอท – คลีเอทีฟ ยังสามารถยืนเด่นในโลกอนาคตได้… แต่หากใครกำลังเรียนเกี่ยวกับวิชาคำนวณ-ประมวลผล-ทำตามสูตรเก่าๆ โบราณๆ…แน่นอนคนเหล่านี้อาจจะต้องตกงานแหงแซะ!

ระบบการศึกษาของประเทศเจริญแล้วเมื่อเทียบกับประเทศเราห่างกันหลายขุม คุณต้องตั้งคำถามว่าทำไมเด็กฝรั่งจึงไม่นิยมเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเมื่อเทียบกับเด็กไทย ผมพอสรุปแบบส่วนตัวซึ่งอาจจะผิดดังนี้นะครับ…เนื่องจากระบบสังคมในประเทศพัฒนาแล้วเป็นระบบรัฐบาลช่วยประชาชน ขยายความก็ประมาณว่า….เมื่อคนๆ หนึ่งทำงานตั้งแต่วัยหนุ่ม-สาวจนถึงวัยเกษียณอายุ มีการเสียภาษี จ่ายแว๊ท VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับรัฐบาลมาตลอดชีวิต เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายทำงานต่อไม่ไหว รัฐบาลจึงมีหน้าที่ต้องดูแลเป็นเรื่องปกติ…เหล่านี้จึงนำไปสู่วัฒนธรรมตัวใครตัวมัน…ลูกสาวลูกชายเมื่อมีอายุ 18 ปีขึ้นไป…จะต้องออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง

ช่วงหยุดซัมเมอร์เด็กฝรั่งส่วนใหญ่นิยมสมัครเข้าทำงานตามที่ตัวเองถนัด หลายๆ บริษัทเปิดโอกาสให้กับนักเรียน-นักศึกษาอย่างเต็มใจ เมื่อนักเรียน-นักศึกษาได้ทำงานแบบจริงๆ จังๆ พวกเขาก็จะเรียนรู้- สรุปความอยากได้-อยากเป็นด้วยตัวเอง…. ฝรั่งส่วนใหญ่จึงเบนเข็มเรียนสายอาชีพเป็นหลัก จะมีเพียงไม่กี่คนที่เลือกเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยและคนที่เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นสาขาอะไรก็ตาม พวกเขาและเธอมีงานตามบริษัทที่ได้เปิดโอกาสให้ทำงานในช่วงซัมเมอร์รองรับอยู่แล้ว…ซึ่งจะแตกต่างจากเด็กไทยเป็นอย่างมากที่ส่วนใหญ่จะพากันมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยก่อน เป้าหมายปลายทางเอาไว้คิดทีหลัง….อีกประเด็นที่ผมอยากจะบอก ทุกวันนี้บริษัทชั้นนำของโลก เวลาเปิดรับสมัครพนักงานใหม่-วุฒิการศึกษามีค่าน้อยกว่าความสามารถ… ซึ่งก็หมายความว่า ถึงคุณจะจบปริญญาตรี-โท-เอก ถ้าความสามารถไม่ถึง คนที่ไม่ได้เรียนอะไรเลย แต่มีความสามารถในด้านนั้นๆ มากกว่าก็จะมีโอกาสเข้าไปทำงานแทน…. อันนี้เรื่องจริง

คิดบวก ความสุขในมุมเล็กๆ ตอนนี้ น่าจะกระตุ้นต่อมความคิด- มองย้อนกลับเข้าไปอดีต-อ่านปัจจุบัน-วิเคราะห์โลกอนาคต…. AI หุ่นอัจฉริยะมาแน่นอนและคุณเป็นคนแรกๆ ที่จะรู้วิธีควบคุมมัน…โชคดีทุกท่าน

Visited 19 times, 1 visit(s) today

เผยแพร่โดย

Avatar photo

TIMMY BUTO

นักเขียน เรื่องจริงอิงนิยาย และเรื่องราวทั่วไป