พึงทำดีให้โลกนี้เป็นสวรรค์บนดิน “เมื่อมีสิ่งไม่บริสุทธิ์สะสมในโลกวิญญาณ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดปฏิกิริยาทำความสะอาดขึ้นโดยธรรมชาติ กล่าวคือมีการชำระด้วยลม และล้างด้วยน้ำ ซึ่งก็คือการเกิดพายุลมฝนนั่นเอง จึงไม่ต่างอะไรกับความทำความสะอาดในโลกปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น กุญแจอันถ่องแท้ที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาพายุลมฝน ก็คือการขจัดต้นตอที่จะทำให้เกิดสิ่งไม่บริสุทธิ์นั่นเอง ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ที่ว่านี้คืออะไร สิ่งไม่บริสุทธิ์ที่กล่าวนี้คือ ความขุ่นมัวหรือเมฆหมอกที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยเจตคติ
พึงทำดีให้โลกนี้เป็นสวรรค์บนดิน
วาจา และใจของมนุษย์จะมีอิทธิพลกระทบกระเทือนไปถึงโลกวิญญาน ซึ่งมองไม่เห็นและเป็นผลทำให้ความขุ่นมัวเกิดขึ้นในโลกวิญญาน จากเหตุผลนี้คงทำให้ทราบได้ดีว่าการที่ทุกวันนี้มีพายุลมฝนครั้งใหญ่เกิดขึ้นบ่อยๆ นั้น มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับความชั่วที่มนุษย์กระทำขึ้นทั้ง กาย วาจาและใจมากเพียงไร
ถ้าถามว่าไม่มีวิธีอื่นใดที่จะขจัดความขุ่นมัวดังกล่าวให้หมดสิ้นไปแล้วหรือ ก็พอจะตอบได้ว่าเรื่องนี้ทำได้ง่ายมากเพียงแต่ใช้วิธีตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น นั่นคือให้มนุษย์ทำความดีทั้งทางกาย วาจาและใจ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทำให้โลกวิญญานซึ่งขุ่นมัวด้วยความชั่วให้เกิดความแจ่มใสด้วยความดีนั่นเอง
ความดีจะกลายเป็นแสงเพื่อทำให้ความขุ่นมัวสูญสิ้นไป จะเห็นได้ว่าพายุลมฝนคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ได้รับความทุกข์ทรมานด้วย” (จากปรัชญาท่านเมชุซะมะ)
เมื่อเกิดปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัว ก็เกิดโยงใยให้ครอบครัวหลายๆ ครอบครัวประสบปัญหาและจากผลกระทบของปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำมีรายได้ไม่เพียงพอ มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอบายมุขครอบงำคนในครอบครัว เป็นบ่อเกิดความขุ่นมัวเล็กๆ ก็พอกพูนมากขึ้น ขยายวงกว้างขึ้น จากครอบครัวเป็นประเทศและหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งต่างมีปัญหาที่ก่อเกิดความขุ่นมัวมากขึ้น ทั้งจากการกระทำ ทั้งวาจาที่ว่าร้ายกันและไม่มีความเมตตากรุณาในจิตใจ
ปัจจุบันมนุษยชาติก็ได้รับผลความขุ่นมัวที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง มีลมพายุไต้ฝุ่น ลมพายุเฮอริเคน แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติหลายต่อหลายครั้ง ต้องสูญเสียชีวิตมนุษย์และทรัพย์สินมากมาย ถ้าเราเข้าใจถึงภาระหน้าที่ของความเป็นมนุษย์แล้ว พยายามแก้ไขและพัฒนาตน รู้จักพิจารณาใคร่ครวญ สร้างแต่ความดี ร่วมมือกันสร้างสวรรค์บนพื้นพิภพ และสร้างแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อปวงชนชาวไทย เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้หมายความว่า ต้องขี้เหนียว ความจริงแล้วหมายถึง ความพอดี พอเหมาะ พอควร ทุกคนปฎิบัติได้ ปฎิบัติจริง ชีวิตเราจะอยูเย็นเป็นสุข ทำให้ไม่เป็นหนี้ใคร
เช่นเดียวกับการจัดดอกไม้ จัดให้สบายๆ เป็นธรรมชาติมากที่สุด ดอกไม้ไม่จำเป็นต้องใส่เข้าไปมากๆ ใส่พอควร ถ้าจัดกิ่งไม้ก็ควรจะมีกิ่งยาวบ้างสั้นบ้าง ดอกไม้ก็เช่นกันควรจะมีสั้น ยาว จัดให้ดูมีความลึก เวลาตรวจแจกันดอกไม้ที่นักเรียนจัดจะพบบ่อยมาก ทำไม่ไม่รู้จักการเก็บออม จะเตือนทุกครั้งให้รู้จักการเก็บแม้จะเล็กน้อยก็ตาม เมื่อยามจำเป็นจะไม่เดือดร้อนมาก จะได้เกิดความภูมิใจที่เราสามารถทำตามพระราชดำรัสใช้จ่ายพอเหมาะพอเพียง