พุทธศาสนสุภาษิต ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง
มีสุภาษิตโบราณที่สำคัญบทหนึ่งกล่าวว่า “ความอดทนที่แท้จริงอยู่ที่การทนกับสิ่งที่ทนไม่ได้” หรือ “จงห้อยถุงแห่งความอดทนไว้ที่คอ เมื่อใดที่มันจะขาดจงซ่อมแซมเสียใหม่”
ความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง
มีหลายคนได้เรียนถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ใช้วิธีฝึกฝนตนอย่างไรจึงบรรลุแสงสว่างแห่งจิตใจ ท่านทรมานร่างกายโดยวิธีต่างๆ ด้วยการอยู่ใต้น้ำตกหรืออดอาหาร” ท่านอาจารย์ได้ตอบว่า “เปล่าเลยข้าพเจ้าไม่เคยฝึกฝนด้วยวิธีการเช่นนั้น ข้าพเจ้ามีหลักอยู่ 2 ประการ คือการอดทนต่อความทุกข์ทรมานในเรื่องการเป็นหนี้สิน กับการอดทนต่อความโกรธ ข้าพเจ้าได้รับการช่วยเหลือเพราะความโกรธ จึงอดจะซาบซึ้งในความเมตตาปราณีอันลึกซึ้งขององค์สมเด็จพระศรีอริเมตไตรยมิได้” สำหรับผู้ที่มีภาระหน้าที่อันสำคัญนั้น เขาจะได้รับบทเรียนต่างๆ เพื่อขัดเกลาจิตวิญญานให้เข้มแข็งในบรรดาบทเรียนทั้งหลายนั้นที่ยากที่สุด คือการควบคุมจิตใจมิให้มีความโกรธ เมื่อเราสามารถทำใจให้สงบและมั่นคงโดยไม่ปล่อยตัวไปกับควมมโกรธได้แล้ว ก็เท่ากับว่าได้ผ่านขั้นตอนหนึ่งของการฝึกฝนแล้วนั้นเอง
ไม่มีใครมีชีวิตที่ไม่เจอคลื่นลม ไม่มีใครมีชีวิตที่ราบรื่นไม่มีสะดุด เพียงแต่ใครจะมีสติตั้งรับได้ไวกว่ากันเท่านั้น ถ้าหวั่นไหวไปกับความทุกข์ มีลาภก็เสื่อมลาภได้ มียศก็เสื่อมยศได้ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ได้ในเมื่อทำดีที่สุดแล้ว…สิ่งที่ทำจบไปแล้ว จะคิดวนเวียนให้ทุกข์ซ้ำซากทำร้ายตัวเองทำไม มาทบทวนตัวเอง มามองตัวเองแบบไม่มีอคติทั้งชอบหรือชัง ถ้าพบว่าทำผิดจริงก็แก้ไขไป อย่าให้ใจเศร้าหดหู่หรือโกรธเคือง เราบังคับความคิดทุกคนให้มองเราดีทั้งหมดไม่ได้ เพราะเราเองก็ยังมองเห็นในความไม่ดีของคนอื่น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะพบเจอแต่เรื่องราวที่ดี เจอคนที่ดีตลอดทั้งชีวิตตัวเราเองก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์ดีพร้อม ทุกชีวิตล้วนมีจุดอ่อนจุดบกพร่องมีโอกาสทำผิดพลาดได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ใครจะพบเจอเรื่องทุกข์หรือเรื่องสุขมากกว่ากันเท่านั้น และสามารถแก้ไขข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนที่มีให้เหลือน้อยที่สุดได้เพียงไหน
เรื่องที่จะเล่าวันนี้เป็นเรื่องของเด็กนักเรียนอายุประมาณ 12-13 ปี ขณะที่ยังมีพ่อแม่อยู่ ที่บ้านเธอด้านหลังบ้านจะใช้สังกะสีล้อมเป็นรั้วบ้านด้านหลังบ้านของเธอ จะเป็นเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน ทั้งสองคนจะเอาเก้าอี้มายืนเอามือจับรั้วกันตก ขณะที่ยืนบนเก้าอี้คุยกันไป ก็จะมีมดที่เดินอยู่แถวรั้วที่มือจับรั้ว ก็ถูกมดกัดมือ แรกๆ ก็ปัดเอาและก็ทำอยู่อย่างนี้ตลอด บางครั้งก็โดนมดกัดจนมีอาการปวดบวม จึงเกิดอาการโกรธมดขึ้นมา จึงเปลี่ยนวิธีจากการปัดเป็นเอานิ้วดีดมด กว่าจะคุยกับเพื่อนเสร็จ เธอก็ดีดมดไปหลายตัวมาก เพราะมดจะเดินกันตลอดแนวกั้น จนวันหนึ่งเธอทำรายงาน กำลังใช้มีดโกนด้ามสีเป็นอุปกรณ์ตัดกระดาษ ขณะนั้นเพื่อนเรียกที่รั้วหลังบ้าน เธอเลยถือมีดไปด้วย แล้วยืนคุยกันพร้อมกับเอามือจับรั้ว แต่วันนั้นมดมีมากกว่าทุกวัน เธอโดนมดกัดอีกแล้ว เลยมีความโกรธ เอามีดที่ถือมา สับขามด บางตัวก็โดนสองขา บางตัวหนึ่งขา เธอเห็นบรรดามดชักดิ้นชักงอ เธอพูดว่า “เป็นไง เจ็บไหม กัดเค้าก็เจ็บโดนซะบ้าง” แล้วเธอก็หัวเราะชอบใจเวลาเห็นมดที่ถูกสับขาดิ้นทรมาน เธอทำไปเยอะมาก จนแม่ของเธอได้ยินเธอพูดว่า “เจ็บไหมๆๆ” จึงเดินมาดู แล้วถามว่า “ทำอะไร” เธอบอกว่า “เอามีดตัดขามด” แม่บอก “เวรกรรมๆๆ ทำมันทำไม” เธอกลับหัวเราะชอบใจ แต่ก็เลิกทำ
เมื่อเธอเรียนอยู่ชั้น ม.2 คุณพ่อเธอเสียชีวิต ทำให้เธอหางานทำช่วยแม่ ช่วงปิดเทอมเธอได้งานเป็นโรงงานพลาสติก แผนกเครื่องตัดถุงพลาสติก ทำคู่กับพี่คนหนึ่ง ในวันนั้นพี่ใช้ให้เธอเช็ดใบมีด ขณะที่เธอกำลังเช็ดใบมีดอยู่ พี่นึกว่าเธอเช็ดเสร็จแล้วเลยเปิดเครื่อง ทำให้นิ้วเธอโดนตัดไปสองนิ้ว ต้องนำส่งโรงพยาบาลทันที ขณะนอนอยู่โรงพยาบาล เธอหวนนึกว่าคงเป็นเวรกรรมที่เคยตัดขามดไว้แน่นอน
แน่นอนทุกเรื่องราวเป็นเหตุเป็นผล ผลแห่งกรรมในทุกเรื่องที่เราได้รับนั้นเราล้วนสร้างเหตุมาแล้วทั้งสิ้น เราแก้กรรมในอดีตไม่ได้ เราอาจพลาดไป แต่สิ่งที่ทำได้ในปัจจุบันคือ ต้องยอมรับเมื่อถึงคราวที่รับผล เร่งทำความดี สร้างบุญกุศลใหม่ให้มากที่สุด
เพื่อให้อานิสงส์แห่งความดีส่งผลให้มากและขออุทิศบุญ ขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวร ทุกชีวิตที่เราล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจไปทั้งเจตนา หรือไม่เจตนาก็ตาม ขอโอกาสให้เราได้ทำความดีทำบุญส่งให้ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เราสร้างเหตุย่อมมีผล เราปลูกต้นอ้อย แน่นอนต้นอ้อยมันมีความหวานอยู่ในตัวมันเป็นเหตุ เมื่อมีความหวานที่ไหนย่อมมีมดอยู่ที่นั่น เมื่อเราเอาต้นอ้อยมาจัดแจกัน เราก็ต้องระวังเรื่องมดมี่มากินความหวานของกิ่งอ้อย เช่นเดียวกันเราก็ต้องระมัดระวังความโกรธให้มากเพราะความโกรธคือสาเหตุต้นเหตุให้เราทำผิดพลาด
รวบรวมและเรียบเรียงธรรมะดีๆ โดย พเยาว์